2. Avatar 2009
ผมเคยเขียนไว้ใน + + AVATAR กับ 12 ปีที่หายไปของ Jame Cameron + http://www.ac108.com/forum_thai/index.php?topic=582.0;nowap
แล้วก็ถูกลอก ครับ ใช่...... ถูกลอกทั้งดุ้นแบบไม่ให้เครดิตไปลงหลายต่อหลายเวป แต่ก็ไม่ได้ว่าไรครับ ตามสบาย
ผมเลยดึงมาไว้ในนี้เลยล่ะกันนะครับ
ก่อนอื่น มาดูที่ประวัติผลงานของพี่คาเมรอน ตั้งแต่เริ่มเแรก จนถึงหนังที่เป็นทางการจริงๆ อย่าง TITANIC แล้วก็มีโปรเจคมากมาย ที่ล้มเก้บ แพลนจะสร้าง เช่น battle angle ที่ล้มไปในช่วงว่าจะสร้างตอนแรก เผอิญแกเป็นคนหนึ่งที่ติดการ์ตูนมังงะและคอมมิคนะครับ เเต่ไม่เคยหยิบจับเอามาสร้างเลย มีตอนนนั้นจะทำ สไปเดอร์แมนก็มีปัญหาอีก
jame cameron เกิดวันที่ 16 สิงหา ปี 54 นับไปนับมาก็ 55 แล้วครับ คาเมรอนไม่ใช่อเมริกันแต่กำเนิดเพราะเขาเกิดและถือสัญชาติแคนนาดา พ่อเป็นวิศวกรด้านวางระบบและไฟฟ้า มารดาเป็นนางพยาบาลและจิตกร ตอนเด็กๆคาเมรอนเคยให้สัมภาษณ์ ว่าในวัยเด็กของเขาไม่ลำบากแต่ก้ไม่หรูหรา มีชีวิตเรียบง่ายสบายๆ ไม่ยากจนค่นแค้น จึงมีความฝันแบบเด็กๆอยากเป็นพวกจิตกรแบบมารดา
เขาผ่านการเรียนที่แคลลิฟอร์เนียร์ และโตรอนโต ต่อมาเขาดร็อปดเรียนไปซะเฉยๆเหมือนกับกำลังหาตัวเองไม่เจอ จนวันหนึ่งในปี 77 เขาได้มีโอกาสได้ดู STARWARS ของลูคัส เขาบอกกับตัวเองว่า จะสร้างหนังที่ดีเทียบเท่าสตาร์วอรืให้ได้ ในปีถัดมาเขาสมัครรับทำโมเดลให้กับ Roger Corman Studios ทั้งเก็บเงินซื้อกล้องถ่ายหนังมาลองจับมุมภาพเอง ครีเอทพ์ภาพที่ตนเองอยากได้ เขาทำงานได้ดีจนได้เป็น อาร์ตไดเร็เตอร์ในหนังเรื่องแรก Battle Beyond the Stars (1980)
แล้วก้าวกระโดดของเขาก้มาถึงเมื่อได้มีโอกาสทำงานในการออกแบบเอ็ฟเฟ็กซ์ ในหนังของ จอห์น คาร์เพนเตอร์ เรื่องดัง Escape from New York (1981) และผลงานลำดับต่อๆมาที่เขาเป็นทั้งที่ปรึกษาและออกแบบด้านเทคนิคพิเศษ นั้นต่างสร้างเครดิตให้เขาไล่มาเลยตั้งแต่ Android (1982), Galaxy of Terror (1981) แม้เเต่หนังเล็กๆอย่าง Piranhaและ Piranha II: The Spawning
หลังจากนั้นสามปี เขานำโปรเจ็คที่คิดได้โดยบังเอิญ ไปเสนอ ตอนแรกเขากะวางดาราที่หมายตามาเเสดงจากเรื่องปิรันย่า แต่เมื่อต้องมาพบกับ อาร์โนล ชวาสเซเน็กเกอร์ ทุกอย่างที่เขาคิดเปลี่ยนไป นั่นคือเขาเปลี่ยนพล็อตหนังเเละนำอาร์โนลมาแสดงเป็นผู้ร้ายตัวดำเนินเรื่องแทน ในหนังเรื่องแรกของเขา คือ The Terminator ในปี 1984 ครับ เดิมทีเขาไม่ได้ตั้งใจมากำกับเพราะเเค่ทำร่างคร่าวๆถึงฉากมุมกล้อง สกรีนเพล์ ไว้เพื่อขายต่อเท่านั้น เเต่ต่อมาเมื่อ โออีรอน สตูดิโอและ Gale Anne Hurd
เข้ามายื่นโอกาสสำคัญในชีวิตให้เขา(ซึ่งต่อมาคือภรรยาของเขา) ในการกำกับหนังเรื่องนี้เเละพบกับ อาโนล ชวาสเซเน็กเกอร์ ทำให้เขาเข้ามาทำหนังที่ทุนสร้างเพียง 5 ล้านเหรียญ แต่ทำเงินไปถึง เกือบ ๆ 80 ล้านในสมัยนั้นแถมด้วยกลายเป็นภาคต่อที่ทรงคุณค่าและมีการซื้อขายที่แพงหลุดโลก หลังการล่มสลายของ Mario Kassar แห่ง Carolco Pictures ในสมัยหลังภาคสอง
นอกจากนี้ไอเดียที่ใครไม่เคยทำกับหุ่นย้อนเวลา ทำให้คาเมรอนกลายเป็นชื่อที่คุ้นหู และเป็นที่ต้องการอย่างมากในสตูดิโอยักษ์ใหญ่ทั้งหลายไม่ว่าจะในรูปแบบ ผู้กำกับหรือคนเขียนบท โดยเฉพาะที่วิ่งมาหาเขาทันทีที่เห็นตัวหนังคือ ซิลเวสเตอร์ สตัลโลน ใน Rambo-FirstBlood เพื่อให้เขามาแก้ไขบทในหลายๆฉากที่ไม่ลงตัวรวมถึงฉากแอ็กชั่นสำคัญในหนังและฉากจบ ทำให้หนังเป็นที่กล่าวขวัญอย่างมากมายเเละทำเงินไปทั่วโลกถึง 300 ล้านเหรียญ (และเป็นเรื่องเดียวในซีรี่ย์แรมโบ้ที่เข้าชิงออสการ์จาก ซาวน์ประกอบ) แต่ขณะเดียวกันก็เข้าชิงสาขาหนังห่วยแตกประจำปี จากรางวัล rasberry awards ด้วยเช่นกันครับ
Aliens (1986)
แต่หนังที่ทำให้คาเมรอนทำให้คอหนังต้องอ้าปากค้างกับการนำหนังของ ริดลี่ สก็อตต์ เรื่อง alien มาสร้างเป็นภาคต่อในแนวทางของตนเอง ซึ่งโดเด่นและเด่นชัดในแอ้กชั่นรูปแบบใหม่ ที่กำหนดให้ผู้หญิงเด่น รวมถึงนำเอาไอเดียของ ยานขนส่ง dropship หุ่นยนตร์ power loader forklift มาใช้ที่ปัจจุบันกลายเป้นฉากแอ็กชั่น ติด 50 ฉากแอ็กชั่นยอดเยี่ยมตลอดกาล
คาเมรอนแสดงพลังของฝีมือการเขียนบทการเล่าเรื่องผ่านกล้องที่ต่อเนื่องมีมิติมีมุมมองไร้ซึ่งความสะดุด ไอเดียใหม่ที่เอาหนังมาเป็นเเอ้กชั่นมากขึ้น ทำให้หนังได้รับคำชมมากมาย นี่ถือเป็นหนังในดวงใจผมเลย แทนที่จะถูกมันต้อนหรือหนีมัน แต่สู้ด้วยหุ่นยกของ แค่คิดได้ก็สุดยอดไอเดียเเล้วครับนี่
หนังเรื่องนี้ทำให้คาเมรอนยิ่งดังกระฉูดกลายเป็นผกก.ที่คนกล่าวขวัญมากที่สุดมากกว่าสปีลเบิร์กซะอีก อีกทั้งทำเงินไปกว่า 140 ล้านเหรียญ แต่ทุนสร้างจิ๊บๆแค่ 18 ล้านเหรียญ
The Abyss (1989)
อีกหนึ่งหนังที่โชว์ไอเดีย ให้ชาวโลกเห็นว่า คาเมรอนนี่เเหละเจ้าของไอเดีย บทหนังที่คนคาดไม่ถึง กับมุมมองภาพเและเทคนิคระดับโลก แนวใหม่ที่ใครดุก้ต้องทึ่ง กับความคิดที่ว่ามนุษย์ต่างดาวน่ะ เขาอยู่ในโลกมานานแล้ว แต่อยู่ใต้มหาสมุทรสุดลึกนั่นเอง
ไอเดียภาพการเคลื่อนของน้ำ ไอเดียมนุษย์ต่างดาวแนวใหม่ ทำให้หนังเข้าชิงออสการ์ Best Visual Effects Best Art Direction-Set Decoration, Best Cinematography และ Best Sound และชนะมาในสาขา Best Visual Effects ซึ่งนอกจากนี้ยังได้รับการโหวตเป็นหนังเทคนิคใหม่ดีที่สุดตลอดกาล แม้ว่าหนังจะวิจิตร ไอเดียบรรเจิอเพียงใดแต่คาเมรอนและ FOX นายทุนก็เจ็บช้ำมาเล้กน้อยเพราะหนังใช้ทุนสร้างถึง 70 ล้านเหรียญ ในการสร้างอาณาจักรใต้ทะเลที่ใช้น้ำมากกว่า 9,000,000 ลิตร (โอ้ แม่เจ้า) แต่ทำเงินเพียง 90 ล้าน ยังดีที่มาได้กับตลาด VHS ในสมัยนั้น รวมถึงเป็นต้นแบบของหนังแอ็กชั่นที่สร้างชื่อให้เขามากๆรวมถึงอาโนลชวาสเซเน็กเกอร์ด้วย ใน T2
Terminator 2: Judgment Day (1991)
แกมีภาค ultimated ที่เป็น 3d ด้วยนะครับแต่มีเเค่เลเซอร์ดิสกมั้งไม่แน่ใจ เพราะชื่อเดิมจริง พี่คาเมรอนแกกะตั้งว่า T2 Battle Across Time (ซึ่งเอาชื่อมาทำ 3D ในภายหลัง) หนังเรื่องนี้แค่ครั้งเเรกเห็นในโรงที่เป้นหนังตัวอย่างของ สหมงคล(มั้ง) ที่โรงหนังในมาบุญครอง นี่เเทบอ้าปากค้าง นึกในใจว่าทำได้ไงวะเนี่ย นี่คือหนังต่อยอดที่คาเมรอนนำเทคนิคจาก abyss มาปรับใช้พร้อมเน้นฉากเเอ็กชั่นที่เอาใจคนทุกรุ่น(ไม่รุ่นใหญ่เพียวๆแบบ อบีส)
อีกเช่นกันคาเมรรอนโชว์ไอเดีย การเขียนบทระดับเทพ ที่อีกเเล้วว่าต้องอุทานว่า "คิดได้ไงวะ" เอาตัวผู้ร้ายมาทำตัวเอก ในส่วนฉากเเอ็กชั่นและเทคนิคใหม่ๆไม่ต้องพูดถึง แค่เจ้า T1000 ที่เป็น CG ระดับเทพ การเคลื่อนไหวของหุ่นที่ต่อเนื่อง นี่ก็สุดๆแล้ว และเพราะคงเคยผ่านตามากันหมดแล้ว แต่จุดที่ไม่ควรมองข้ามในหนังของคาเมรอนคือหนังมีที่มาที่ไปสั้นๆเสมอและตัวหนังไหลลื่นไม่มีสะดุด ดูได้ต่อเนื่อง เเละตอนจบที่ต้องอึ้งเสมอไสตล์แก
แต่ก้น่าเสียดายที่ภาคสาม Terminator 3: Rise of the Machines และสี่ พี่แกขี้เกียจมาทำ โดยเฉพาะภาคสี่ Terminator Salvation นี่มัน ห่วยมากๆเลยครับผม ในส่วนภาคนี้ที่คาเมรอนทำ ได้ถูกบรรจุกลายเป็น หนัง The Top 100 Films of All Time ของโลกไปแล้ว แถมด้วย รายได้กว่า 500 ล้านเหรียญทั่วโลก แถมเป้น แผ่น laserdisc ที่ขายดีที่สุดในโลกด้วย
True Lies (1994)
เจมส์ ฟรานซิส เบคอน คาเมรอน (ชื่อเต็มของเจมส์ คาเมรอน) กับรางวัล visual awards หรือเอ็ฟเฟ็กต์ต่างๆเหมือนเป็นของคู่กันไปแล้ว หนังเรื่องนี้ก้เช่นกันที่ต่อยอกความสำเร็จต่อจาก T2 และเป็นเรื่องแรกที่อาโนลได้ค่าตัวบวกส่วนแบ่งหนังไม่ต่ำกว่า 30 ล้านเหรียญ แม้หนังจะไม่ทำเงินมากมายนักแต่ก็ไม่ขาดทุนเพราะได้รายได้จากทั่วโลกไปสมทบมากมาย (ทุนสร้าง 110 ล้าน ทำไปทั่วดลกกว่า 400 ล้านเหรียญ) หนังเรื่อง TRUE LIES ถือเป้นความพยายามใหม่ของคาเมรอนที่อยากเปลี่ยนแนวมาในแบบไม่ซีเรียสมากนัก มีอารมณ์ขันหน่อยๆ ซึ่งก็ถือว่าทำได้ดีมากๆเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ ฉากที่ ลี เคอร์ตีส เต้นนี่อย่างฮาครับผม
ระหว่างที่เขากำลังทำเรื่องนี้เขาได้ไอเดียการรีเมกส์จากหนังฝรั่งเศสเรื่อง La totale ซึ่งในระหว่างถ่ายทำนี่เอง คาเมอรอนซึ่งยังค้างคาใจจากหนังเรื่อง the abyss อยู่ เขาเกิดปิ๊งไอเดียการสำรวจซากไททานิคและเป็นที่มาของหนังที่ทำเงินอันดับหนึ่งทั่วโลก(เมื่อไม่ได้คิดค่าเงินแปรผันนะครับ)
Titanic (1997)
ในส่วนตัวผมว่าไททานิคดีมากครับ แต่คาเมรอนเอาองค์ประกอบอย่างหนึ่งมาใช้หนังดูดีมากๆถึงมากที่สุด นั่นคือวินาทีเเรกที่หนังฉายที่เป็นรูปแบบมิวสิควีดีโอของเซรีน ดีออน (เจ๊เซรีนแกก็รวยเละเทะจาหนังเรื่องนี้เช่นกัน ทั้งที่รวยมาระดับหนึ่งในตอนแรกแล้ว)
ในตอนเริ่มสร้างกับทุนอนุมัติเพียง 120 ล้าน แต่ทั้งปัญหาที่คาเมรอนต้องการความสมจิรงทำให้ทุนสร้างทะลักทะลุไปที่ 200 ล้าน(คล้ายๆยามาโต้ของญี่ีปุ่นที่สร้างอยู่ตอนนี้แหละ) แถมด้วยดารานำที่ค่อนข้างโนเนมอย่างดีคราปิโอเเละเคท วินสเลท ทำให้หนังถูกเชื่อว่านี่ต้องเป็น the abyss เรื่องที่สอง(คือเจ๊งหรือได้รายรับไม่น่าพิสมัย)แน่ๆ
แถมไปถูกเทียบและล้อเลียนกับ water world ของ เควิน คอสเนอรืที่เจ๊งไป แต่คาเมรอนไม่เคยโต็ตอบใดๆ เขามุ่งมั่นที่จะทำงานของเขา เเม้จะมีข่าวร้ายๆในกองถ่ายมามากมายในเรื่องของผู้บริหารของพาราเม้าท์ ฟ็อกซ์ที่กลุ้มใจกับเรื่องงบการสร้างที่อาจทำให้บริษัทถึงกับล้มละลายได้ เพราะพี่คาเมรอนแกเล่นสร้างเรือใหม่ถึงสองลำ ผลาญน้ำไป 19 ล้านลิตร ถ่ายทำอีก 160 วัน (เดิมแพลนแค่ 130 วัน)
แต่ไททานิคสร้างปรากฎการณ์ปากต่อปากที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน (นอกจาก the sound of music) ทุบสถิติขึ้นเกือบทุกอย่างที่เคยเกิด ทั้งขึ้นอันดับหนึ่ง บ้อกซ์ ออฟฟิส 15 สัปดาห์ต่อเนื่องกัน ฉายตั้งแต่มีนาคม 1988 ถึงตุลาคม 1988 ฟันไป 600 ล่านเหรียญเฉพาะในอเมริกาและฟันไปอีก 1200 ล้านเหรียญในตลาดนอกอเมริกา รวม 1,850 ล้าเหรียญทั่วโลก ยังไม่รวม VHS VCD DVD ของเล่นที่ระลึก ลิขสิทธิ์ต่างๆรวมถึง เพลงประกอบที่ฟันไป โดยเฉพาะ My Heart Will Go On ขึ้นอันดับหนึ่งบิลบอร์ 16 สัปดาห์ กับ 11 ล้านก็อปปี้ใน สองเดือน ขึ้นอันดับหนึ่งเกือบทุกประเทศแถมด้วยการีเมกเพลงในภาษาท้องถิ่นกว่า 60 ภาษา
แถมด้วย 11 รางวัลออสการ์ จาก 14 รางวัลเข้าชิง ที่ีเป็นสถิติคู่กับ Ben-Hur ก่อนมี LOTR:THE RETURN OF THE KING มาทาบอีกเรื่อง
ในส่วนลิมิเต็ทอีดีชั่น ก็ออกมามากมายครับ แต่แบบที่หายากที่สุดคือ กล่องไม้ ที่มีเอกสารในเรือไททานิค ตั๋วเรือ ดีวีดี ที่ทำไม่กี่ชิ้นผมไม่แน่ใจว่ากี่ชิ้นนะครับ แต่คิดว่าไม่น่าเกิน 1000 ชิ้นทั่วโลก ....หุหุหุ ขออวดว่ากระผมก็มีครับ ประมูลมาจากอีเบยืแบบแทบลากเลือด เดี๋ยวจะถ่ายรูปมาอวดสักหน่อย เป็นความภูมิใจของผมจริงๆที่ปาดหน้าไอ้กันคนนั้นชนะประมูลได้
คาเมรอนเริ่มกลับมาทำหนังโดยร่างบทของ Spiderman ออกมาจำนวน 47 หน้าเป็นเนื้อเรื่องของสไปเดอรืและสัตรูคือ electro กับ sandman เเต่ความหวังของเขาที่จะกำกับเรื่องนี้ต้องพังลง เมื่อบริษัทนายทุนในตอนแรก อย่างคารอลโก้ล้มละลายและมีปัญหาด้านส่วนตัวหลายอย่างเขาถึงล้มเลิกมันไป แล้วต่อมาถูกส่งต่อไปยัง แซมไรมิ
ส่วนตัวเขากลับไปช่วยเป็นโปรดิวเซอร์และร่างบทเองรวมถึงช่วยกำกับ(เฉพาะตอนสุดท้าย) ให้กับซีรี่ยืซุปเปอร์ฮีโร่ที่เขานำความคิดมาจากการ์ตูน ญี่ปุ่นในชื่อ Battle Angel แต่เอามาใส่ในตัวละครของเจสสิก้า อัลบ้าร์คือ X5-452 ในชื่อ Max Guevara แต่ซีี่รี่ย์ dark angel นั้นดูยาก(ในความคิดผมนะ)เรตติ้งไม่ดี จึงทำให้หนังซีรี่ย์ของช่องฟ็อกซืมีอายุสั้นๆแค่สองซีซั่นเท่านั้น
จริงๆแล้ว คาเมรอนเองเคยมีผลงานในฐานะนักเขียนบทร่วมมาก่อนตั้งแต่เเรมโบ้ภาคสองไม่ว่าจะเป็น
Point Break (1991) ที่ได้รับคำชมมากมายและเป็นจุดกำเนิดของคีอานู รีฟ Strange Days (1995) หลายคนบอกว่าบทมันอ่อนเกินไป แต่ผมว่าก้สนุกดีครับ Solaris (2002) นี่หลุดโลกไปเลย Exodus Decoded (2006) หนังมันกึ่งๆหนังเกินไปไม่สุด จบก็ห้วนๆพิกล The Lost Tomb of Jesus (2007) อันนี้เป็นที่กังขาจนคาเมรอนถูกต่อว่ามาเยอะมาก
นอกจากในช่วงที่หายไปแกจะไปเป็นโปรดิวเซอร์-เขียนกับ ไททานิค ที่แกสร้างกล้อง สำหรับถ่ายใต้น้ำที่ความดันสูงรุ่นใหม่ขึ้นมา พี่แกเลยหยิบนำมาใช้ประโยชน์ กับหนังสารคดี ทั้งหมดสามเรื่องที่พอผ่านตาเราไปแล้วบ้างคือ Expedition: Bismarck (2002) เป็นการสำรวจ เรือเยอรมันที่จมลงในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ที่แกทำร่วมกับสถานี discovery channel Ghosts of the Abyss (2003) อันนี้แกทำให้วอลดิสนี่ย์และ IMAX Aliens of the Deep (2005) อันนี้แกพัฒนามาเป็น 3D Imax ที่เน้นการเรืองแสง (แกก็เอาไปทำใน อวตารด้วย)
ล่าสุดที่ประกาศมาว่าแกกำลังสร้างหนังชื่อ The Dive นั้น ปีหน้าแกจะทำ Titanic มาในรูป 3D ด้วยครับ เรียกว่าฉบับ "Spectacular" TITANIC 3D ในปี 2010 (แต่ผมลองเข้าไปดูในเว็ปออฟฟิสเชียลก็ยังไม่เห็นนะครับ เห็นแต่ในพวกนิตยสารอย่าง Vareity ที่ลงข่าวอยู่ )..... แต่ ณปัจจุบันออกมาแล้วครับเมื่อปีที่แล้ว
มาเข้าโปรเจคปัจจุบัน AVATAR หรืออวตาร ครับ (จริงๆตอนนี้แกโปรเจคซ์เยอะมากเรียกว่า"Project 880" ทั้งAVATAR , BATTLE ANGEL การ์ตูนที่แกเอาแบบมาทำใน DARK ANGEL แต่ก็ไม่เห็นจะเหมือนหรือเกี่ยวกัน กับ THE DIVE ครับ)
คำว่า AVATAR หรืออวตาร มาจากรากศัพท์ภาษาฮินดูแปลว่า การแบ่งภาคเพื่อจุติ ซึ่งสามารถโยงไปกับ พระนารายณ์ พระพุทธเจ้า(นิกายวัชรยาน) ก็อ้างมาเข้ากับในหนังที่ปูเนื้อเรื่อง การแบ่งภาคเช่นกันครับ
เนื้อเรื่องของ อวตาร หรือ AVATAR นั้นเเรกเริ่มเดิมทีถูกร่างโดยคาเมรอนเองตั้งแต่ปี 1994 ที่เขาร่างบทกว่า 80 หน้า กล่าวถึงความเลวหรือด้านเลวของสิ่งที่ชื่อว่ามนุษย์ที่ตักตวงสิ่งต่างๆเพื่อตัวเองโดยไม่สนใจ ว่าใคร สิ่งไหน อะไร จะเป็นยังไง โดย แซม เวิททิงตั้น(Sam Worthington) จาก บท มาคัสใน เทอร์มิเนเตอร์ ซัลเวชั่น มารับบท เจค ซัลลี่ Jake Sully อดีตนาวิกโยธินพิการช่วงล่าง
ที่ถูกนำมา "อวตาร" ใน AVATAR PROGRAM แบ่งภาคเปลี่ยนรูปเป็นมนุษย์ต่างดาวเป็นชาวแพนดอร่าหรือชาว Na’vi ที่สูงกว่าสามเมตร ทำให้เขาได้เห็นความสวยงามของเมืองและชีวิตที่เดินได้ เเละเขาก้เกิดหลงรักชาวนาวี่ คือ Neytiri แต่ภารกิจของเขาคือการมาสอดแนมในกลุ่มชาวพื้นเมืองนี้เพื่อทรัพยากรธรรมชาติในนั้น ในที่สุดเขาก็ต้องเลือก .....
อวตาร หรือ AVATAR นั้น ใช้เวลาการสร้างร่างบทมาตั้งแต่ปี 1994 แก้เเล้วแก้อีก จนมาถึงการทำจริงจังในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา ผลาญงบประมาณการสร้างเพียวๆมากกว่า 240 ล้านเหรียญ โดยยังไม่รวมค่าโฆษณาและประชาสัมพันธ์ ผมว่าฟ็อกซ์สตูดิโอเองแกก็หนาวๆเหมือนกัน (แต่โชคดีที่ได้เรต PG-13) และใน วันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา คาเมรอนได้นำหนังเวอร์ชั่นตัดต่อ 15 นาที ฉายในกว่า 50 ประเทศทั่วโลกรวมไทยแลนด์แดนสยาม
อวตารถูกกล่าวขวัญว่าเป็นการ์ตูนกึ่งอนิเมชั่นที่มีคนแสดงร่วมที่สมบูรณ์ที่สุดในปัจจุบันเท่าที่ผมเคยเห็นมา (จริงๆ ของโรเบิตร์ เซเมคิส ก็สวยมากๆอยู่เเล้วครับ จาก Polar express ,Beowulf,X'mas carrol) ภาพสวยสมจริง ออกแบบโดย lightstorm เป็นการผนวกเอา 3D มาร่วมในหนัง รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่คิดค้นใหม่เพื่อใช้ในการถ่ายเรื่องนี้เรื่องแรกได้แก่ Digital Asset Management (DAM) ยังไม่รวมถึงการขอความช่วยเหลือไปยังพิกซ่าเพื่อช่วยสร้าง server farm จาก เครื่องกว่า 4,000 เซอร์เวอร์ ของ Hewlett-Packard servers ที่มี processor cores 35000 ตัว...โอ้วแม่เจ้า งบสร้างปัจจุบันคอนเฟิร์มมาที่ 350 ล้านเหรียญนะครับ
Avatar Movie Trailer [HD]Avatar behind the scenesAvatar - Making Of (Part.2) Creating The World Of Pandora + Scene [HD]Avatar Exclusive -Behind The Scenes (The Art of Performance Capture)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 26, 2020, 01:20:35 am โดย TEAW »
---------------------------
|