หน้าแรก ช่วยเหลือ ค้นหา เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก
ยินดีต้อนรับ,บุคคลทั่วไป. กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.
เมษายน 26, 2024, 10:50:47 am
ข่าว: SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: Top 30 sci-fi + Fantasy + special effect movies หนังเทคนิค หนังไซไฟ หนังแฟนตาซี  (อ่าน 118620 ครั้ง)

Group: Global Moderator
Hero Member
*****

กระทู้: 1420
https://www.avelaclinique.com/
Top 30 sci-fi + Fantasy + special effect movies หนังเทคนิค หนังไซไฟ หนังแฟนตาซี  Top 10 Films With The Best Special Effects top ten film CGI CG สุดยอดหนัง ไซไฟ วิทยาศาสตร์ สุดยอดหนังสเปเชี่ยล เอฟเฟ็คซ์ หนังแฟนตาซี สุดยอดหนังไซไฟ  Best Sci-Fi and Fantasy Movies of All Time  หนังไซไฟที่ดีที่สุดในรอบปี  ดีที่สุดตลอดกาล อันดับสุดยอดหนังไซไฟตลอดกาล Box office all times Sci fi movie film special effect หนังเทคนิคสุดยอดสมจริง หนังเทคนิคที่ดีที่สุด ตลอดกาล สุดยอดหนังแอ็คชั่น-ไซไฟแห่งปี   หนังเทคนิคพิเศษ ที่เปลี่ยนแปลงวงการภาพยนตร์โลก หนังที่นำสิ่งใหม่ๆมาสู่วงการภาพยนตร์  หนังเทคนิค พิเศษ  หนังอนิเมชั่น ANIMATION หนังซีจี CG หนัง VISUAL EFFECT หนังคอมพิวเตอร์กราฟฟิก  COMPUTER GRAPHIC  behind the scene making of film , ILM . WETA , เบื้องหลังการถ่ายทำ หนังเทคนิคพิเศษ , สุดยอดหนังไซไฟ


หัวข้อเพิ่มเติมดูได้ในห้อง  Entertainment & Sport
https://www.route035.com/webboard/index.php?board=5.0





ผมเคยเขียนไว้ในเรื่อง visual effect behind the scence ของหนัง scifi ไว้ใน
  + + AVATAR กับ 12 ปีที่หายไปของ Jame Cameron +
http://www.ac108.com/forum_thai/index.php?topic=582.0;nowap




แล้วก็ถูกลอก ครับ ใช่...... ถูกลอกทั้งดุ้นแบบไม่ให้เครดิตไปลงหลายต่อหลายเวป แต่ก็ไม่ได้ว่าไรครับ ตามสบาย ผมเลยเอามาลงในกระทู้นี้ด้วยซะเลยนะครับ






พอดีเพิ่งได้หนังสือเล่มใหม่มา เป็น หนังสือรวมหนัง CG ชื่อ The CG Story ของ Finch จากเอเชียบุ๊ก เสียตังค์ไปสองพันกว่าบาท เล่มโคตรหนัก ต้องถือเข้าไปดู the secret life of walter mitty อีก



เลยกลับมานั่งดูว่าตัวเองเคยเขียน 18+2 หนังเทคนิคพิเศษ ที่เปลี่ยนแปลงวงการภาพยนตร์โลก หนังที่นำสิ่งใหม่ๆมาสู่วงการภาพยนตร์ ไปเมื่อ สี่ปีก่อน ตอนนี้มันมีอะไรมาหใม่ๆละเลยนำมาเขียนใหม่ แก้ไขเพิ่มเติมให้อ่านกันซะเลยครับ

Behind the Magic: The Visual Effects of "The Avengers"

TERMINATOR 2 Behind-the-Scenes T-800 FX

JURASSIC PARK - Evolution of a Raptor Suit

ข้อมูลส่วนใหญ่ผมอิงมาจาก   หนังสือรวมหนัง CG ชื่อ The CG Story ของ Finch  ที่กล่าวมาข้างต้นนะครับ




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 25, 2020, 08:23:19 pm โดย TEAW »


---------------------------
   

Group: Global Moderator
Hero Member
*****

กระทู้: 1420
https://www.avelaclinique.com/
โดยส่วนใหญ่เเล้วหนังเทคนิคพิเศษนั้นมีต้นกำเนิดแรกเริ่มเดิมที มากจากการใช้ งาน Stop motion โโยมีคนที่คุณควรรู้จักก็คือ Ray Harryhausen





* Ray Harryhausen  เกิด 1920 เป็นเจ้าพ่อหรือบิดาแห่งงาน stop motion ดังมาจาก Mighty Joe  Young และ 7 th Voyage of Sinbad  เขาเป้นที่นับถือมาในฮอลลิวู๊ด ทั้งมีการสร้างรางวัลในชื่อเขา มีการนำชื่อเขาไปใช้ในหนัง เช่น Monster inc. ที่มีร้านขายอาหาร (อาหารจีนรึเปล่าผมไม่แน่ใจ) แล้วตั้งชื่อร้านว่า Harry Hausen ,หรือ จะฉากหนัง Mars Attack ของ Tim Berton ที่ดึงฉากของ Harryhausen มาเลย


Sinbad - Cyclops Scene 1


ผมเขียนไว้ใน
https://www.route035.com/webboard/index.php?topic=184.0
The Hobbit กับ 12 ปี ของ Peter Jackson กับ Lord of the rings


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 25, 2020, 08:47:53 pm โดย TEAW »


---------------------------
   

Group: Global Moderator
Hero Member
*****

กระทู้: 1420
https://www.avelaclinique.com/
เอาเป็นว่าผมไม่เรียงตามปี เอาของเก่ามารวมๆกับของใหม่ นึกไรได้ก็เขียนละกันครับผม


1. Gravity 2013



สุดยอดหนังแอ็กชั่น เสปเชี่ยลเอฟเฟคเพียบสุดมันส์ของ อัลฟอนโซ กัวรอน




ที่จับเอาเหตุการณ์เกิดอุบัติเหตุระหว่างการทำงานในอวกาศเหนือพื้นโลก ของทีมนักบินอวกาศที่ขึ้นไปทำการซ่อมเเซมติดตั้ง ตัวกล้องดูดาวจากดาวเทียม



ไม่น่าเชื่อว่าตลอดตัวหนังกว่าสองชั่วโมง ภาพอวกาศมันออกมาสมจริงแบบว่ายากนักจะจับผิดได้ คงต้องขอบคุณทีมงานสเปเชี่ยลเอฟเฟคซ์ของกัวรอน





ที่สามารถเซ็ตงานแบบทำการบ้านมาอย่างดีแบบเอาอยู่ ผนวกกับฝีมือการเเสดงเพียวๆของซานดร้า บุลล็อกเเละ จอร์จ คลูนี่ย์ ที่เอาหนังอยู่เพราะทั้งเรื่องก็เล่นกันสองคนนี่ล่ะ




ในส่วนของซีจีนั้น หนัง กราวิตี้ มฤตยูแรงโน้มถ่วง นั้นใช้บริการงานภาพจากช่างกล้องระดับเทพอย่าง Emmanuel Lubezki แกเข้าชิงรางวัลออสการ์มาเเล้ว 5 ครั้ง ผมว่าน่าจะสมหวังจากเรื่องนี้เเน่นอนครับผม

Gravity Breakdown by Prime Focus



งานด้าน CG 3D ใช้บริการของ Prime Focus World

http://www.primefocusworld.com/





ที่คุมโดย CEO Tom McGrath อดีตผู้บริหารของ Columbia, HBO และ CBS
 




ซึ่งบริษัทนี้เป็นบริษัทเดียวกับที่ทำงาน visual effects and 3D conversion ให้กับ Great gatsby



เบ็ดเสร็จใช้เวลาในการทำเพียงปีเศษ นั่นเเปลว่าเดี๋ยวนี้เทคโนโลยีด้านงาน visual effects ในหนังทำได้เร็วมากเเล้วครับ และใช้ทุนสร้างแบบน่าตกใจเพียง 100 ล้านเหรียญเท่านั้นเอง



GRAVITY - Official Movie Clip #1 (2013) [HD]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 25, 2020, 10:16:35 pm โดย TEAW »


---------------------------
   

Group: Global Moderator
Hero Member
*****

กระทู้: 1420
https://www.avelaclinique.com/
2. Avatar 2009




ผมเคยเขียนไว้ใน  + + AVATAR กับ 12 ปีที่หายไปของ Jame Cameron +
http://www.ac108.com/forum_thai/index.php?topic=582.0;nowap




แล้วก็ถูกลอก ครับ ใช่...... ถูกลอกทั้งดุ้นแบบไม่ให้เครดิตไปลงหลายต่อหลายเวป แต่ก็ไม่ได้ว่าไรครับ ตามสบาย


ผมเลยดึงมาไว้ในนี้เลยล่ะกันนะครับ



ก่อนอื่น มาดูที่ประวัติผลงานของพี่คาเมรอน ตั้งแต่เริ่มเแรก จนถึงหนังที่เป็นทางการจริงๆ อย่าง TITANIC แล้วก็มีโปรเจคมากมาย ที่ล้มเก้บ แพลนจะสร้าง เช่น battle angle ที่ล้มไปในช่วงว่าจะสร้างตอนแรก เผอิญแกเป็นคนหนึ่งที่ติดการ์ตูนมังงะและคอมมิคนะครับ เเต่ไม่เคยหยิบจับเอามาสร้างเลย มีตอนนนั้นจะทำ สไปเดอร์แมนก็มีปัญหาอีก



jame cameron เกิดวันที่ 16 สิงหา ปี 54 นับไปนับมาก็ 55 แล้วครับ คาเมรอนไม่ใช่อเมริกันแต่กำเนิดเพราะเขาเกิดและถือสัญชาติแคนนาดา พ่อเป็นวิศวกรด้านวางระบบและไฟฟ้า มารดาเป็นนางพยาบาลและจิตกร ตอนเด็กๆคาเมรอนเคยให้สัมภาษณ์ ว่าในวัยเด็กของเขาไม่ลำบากแต่ก้ไม่หรูหรา มีชีวิตเรียบง่ายสบายๆ ไม่ยากจนค่นแค้น จึงมีความฝันแบบเด็กๆอยากเป็นพวกจิตกรแบบมารดา



เขาผ่านการเรียนที่แคลลิฟอร์เนียร์ และโตรอนโต  ต่อมาเขาดร็อปดเรียนไปซะเฉยๆเหมือนกับกำลังหาตัวเองไม่เจอ จนวันหนึ่งในปี 77 เขาได้มีโอกาสได้ดู STARWARS ของลูคัส เขาบอกกับตัวเองว่า จะสร้างหนังที่ดีเทียบเท่าสตาร์วอรืให้ได้ ในปีถัดมาเขาสมัครรับทำโมเดลให้กับ Roger Corman Studios ทั้งเก็บเงินซื้อกล้องถ่ายหนังมาลองจับมุมภาพเอง ครีเอทพ์ภาพที่ตนเองอยากได้ เขาทำงานได้ดีจนได้เป็น อาร์ตไดเร็เตอร์ในหนังเรื่องแรก  Battle Beyond the Stars (1980)



แล้วก้าวกระโดดของเขาก้มาถึงเมื่อได้มีโอกาสทำงานในการออกแบบเอ็ฟเฟ็กซ์  ในหนังของ จอห์น คาร์เพนเตอร์ เรื่องดัง   Escape from New York (1981)  และผลงานลำดับต่อๆมาที่เขาเป็นทั้งที่ปรึกษาและออกแบบด้านเทคนิคพิเศษ นั้นต่างสร้างเครดิตให้เขาไล่มาเลยตั้งแต่ Android (1982),  Galaxy of Terror (1981) แม้เเต่หนังเล็กๆอย่าง  Piranhaและ  Piranha II: The Spawning



หลังจากนั้นสามปี เขานำโปรเจ็คที่คิดได้โดยบังเอิญ ไปเสนอ ตอนแรกเขากะวางดาราที่หมายตามาเเสดงจากเรื่องปิรันย่า แต่เมื่อต้องมาพบกับ อาร์โนล ชวาสเซเน็กเกอร์ ทุกอย่างที่เขาคิดเปลี่ยนไป นั่นคือเขาเปลี่ยนพล็อตหนังเเละนำอาร์โนลมาแสดงเป็นผู้ร้ายตัวดำเนินเรื่องแทน ในหนังเรื่องแรกของเขา คือ The Terminator ในปี 1984 ครับ เดิมทีเขาไม่ได้ตั้งใจมากำกับเพราะเเค่ทำร่างคร่าวๆถึงฉากมุมกล้อง สกรีนเพล์ ไว้เพื่อขายต่อเท่านั้น เเต่ต่อมาเมื่อ โออีรอน สตูดิโอและ  Gale Anne Hurd



เข้ามายื่นโอกาสสำคัญในชีวิตให้เขา(ซึ่งต่อมาคือภรรยาของเขา) ในการกำกับหนังเรื่องนี้เเละพบกับ อาโนล ชวาสเซเน็กเกอร์ ทำให้เขาเข้ามาทำหนังที่ทุนสร้างเพียง 5 ล้านเหรียญ แต่ทำเงินไปถึง เกือบ ๆ 80 ล้านในสมัยนั้นแถมด้วยกลายเป็นภาคต่อที่ทรงคุณค่าและมีการซื้อขายที่แพงหลุดโลก หลังการล่มสลายของ Mario Kassar แห่ง Carolco Pictures ในสมัยหลังภาคสอง


นอกจากนี้ไอเดียที่ใครไม่เคยทำกับหุ่นย้อนเวลา ทำให้คาเมรอนกลายเป็นชื่อที่คุ้นหู และเป็นที่ต้องการอย่างมากในสตูดิโอยักษ์ใหญ่ทั้งหลายไม่ว่าจะในรูปแบบ ผู้กำกับหรือคนเขียนบท โดยเฉพาะที่วิ่งมาหาเขาทันทีที่เห็นตัวหนังคือ ซิลเวสเตอร์ สตัลโลน ใน Rambo-FirstBlood เพื่อให้เขามาแก้ไขบทในหลายๆฉากที่ไม่ลงตัวรวมถึงฉากแอ็กชั่นสำคัญในหนังและฉากจบ ทำให้หนังเป็นที่กล่าวขวัญอย่างมากมายเเละทำเงินไปทั่วโลกถึง 300 ล้านเหรียญ (และเป็นเรื่องเดียวในซีรี่ย์แรมโบ้ที่เข้าชิงออสการ์จาก ซาวน์ประกอบ) แต่ขณะเดียวกันก็เข้าชิงสาขาหนังห่วยแตกประจำปี จากรางวัล rasberry awards ด้วยเช่นกันครับ

Aliens (1986)



แต่หนังที่ทำให้คาเมรอนทำให้คอหนังต้องอ้าปากค้างกับการนำหนังของ ริดลี่ สก็อตต์ เรื่อง alien มาสร้างเป็นภาคต่อในแนวทางของตนเอง ซึ่งโดเด่นและเด่นชัดในแอ้กชั่นรูปแบบใหม่ ที่กำหนดให้ผู้หญิงเด่น รวมถึงนำเอาไอเดียของ  ยานขนส่ง dropship  หุ่นยนตร์ power loader forklift มาใช้ที่ปัจจุบันกลายเป้นฉากแอ็กชั่น ติด 50 ฉากแอ็กชั่นยอดเยี่ยมตลอดกาล



คาเมรอนแสดงพลังของฝีมือการเขียนบทการเล่าเรื่องผ่านกล้องที่ต่อเนื่องมีมิติมีมุมมองไร้ซึ่งความสะดุด ไอเดียใหม่ที่เอาหนังมาเป็นเเอ้กชั่นมากขึ้น ทำให้หนังได้รับคำชมมากมาย นี่ถือเป็นหนังในดวงใจผมเลย แทนที่จะถูกมันต้อนหรือหนีมัน แต่สู้ด้วยหุ่นยกของ แค่คิดได้ก็สุดยอดไอเดียเเล้วครับนี่


หนังเรื่องนี้ทำให้คาเมรอนยิ่งดังกระฉูดกลายเป็นผกก.ที่คนกล่าวขวัญมากที่สุดมากกว่าสปีลเบิร์กซะอีก อีกทั้งทำเงินไปกว่า 140 ล้านเหรียญ แต่ทุนสร้างจิ๊บๆแค่ 18 ล้านเหรียญ

The Abyss (1989)



อีกหนึ่งหนังที่โชว์ไอเดีย ให้ชาวโลกเห็นว่า คาเมรอนนี่เเหละเจ้าของไอเดีย บทหนังที่คนคาดไม่ถึง กับมุมมองภาพเและเทคนิคระดับโลก แนวใหม่ที่ใครดุก้ต้องทึ่ง กับความคิดที่ว่ามนุษย์ต่างดาวน่ะ เขาอยู่ในโลกมานานแล้ว แต่อยู่ใต้มหาสมุทรสุดลึกนั่นเอง



ไอเดียภาพการเคลื่อนของน้ำ ไอเดียมนุษย์ต่างดาวแนวใหม่ ทำให้หนังเข้าชิงออสการ์     Best Visual Effects  Best Art Direction-Set Decoration, Best Cinematography และ Best Sound และชนะมาในสาขา  Best Visual Effects ซึ่งนอกจากนี้ยังได้รับการโหวตเป็นหนังเทคนิคใหม่ดีที่สุดตลอดกาล แม้ว่าหนังจะวิจิตร ไอเดียบรรเจิอเพียงใดแต่คาเมรอนและ FOX นายทุนก็เจ็บช้ำมาเล้กน้อยเพราะหนังใช้ทุนสร้างถึง 70 ล้านเหรียญ ในการสร้างอาณาจักรใต้ทะเลที่ใช้น้ำมากกว่า 9,000,000 ลิตร (โอ้ แม่เจ้า)  แต่ทำเงินเพียง 90 ล้าน ยังดีที่มาได้กับตลาด VHS ในสมัยนั้น รวมถึงเป็นต้นแบบของหนังแอ็กชั่นที่สร้างชื่อให้เขามากๆรวมถึงอาโนลชวาสเซเน็กเกอร์ด้วย ใน T2

Terminator 2: Judgment Day (1991)



แกมีภาค ultimated ที่เป็น 3d ด้วยนะครับแต่มีเเค่เลเซอร์ดิสกมั้งไม่แน่ใจ เพราะชื่อเดิมจริง พี่คาเมรอนแกกะตั้งว่า  T2  Battle Across Time (ซึ่งเอาชื่อมาทำ 3D ในภายหลัง) หนังเรื่องนี้แค่ครั้งเเรกเห็นในโรงที่เป้นหนังตัวอย่างของ สหมงคล(มั้ง) ที่โรงหนังในมาบุญครอง นี่เเทบอ้าปากค้าง นึกในใจว่าทำได้ไงวะเนี่ย นี่คือหนังต่อยอดที่คาเมรอนนำเทคนิคจาก abyss มาปรับใช้พร้อมเน้นฉากเเอ็กชั่นที่เอาใจคนทุกรุ่น(ไม่รุ่นใหญ่เพียวๆแบบ อบีส)



อีกเช่นกันคาเมรรอนโชว์ไอเดีย การเขียนบทระดับเทพ ที่อีกเเล้วว่าต้องอุทานว่า "คิดได้ไงวะ" เอาตัวผู้ร้ายมาทำตัวเอก ในส่วนฉากเเอ็กชั่นและเทคนิคใหม่ๆไม่ต้องพูดถึง แค่เจ้า T1000 ที่เป็น CG ระดับเทพ การเคลื่อนไหวของหุ่นที่ต่อเนื่อง นี่ก็สุดๆแล้ว และเพราะคงเคยผ่านตามากันหมดแล้ว แต่จุดที่ไม่ควรมองข้ามในหนังของคาเมรอนคือหนังมีที่มาที่ไปสั้นๆเสมอและตัวหนังไหลลื่นไม่มีสะดุด ดูได้ต่อเนื่อง เเละตอนจบที่ต้องอึ้งเสมอไสตล์แก



แต่ก้น่าเสียดายที่ภาคสาม Terminator 3: Rise of the Machines  และสี่ พี่แกขี้เกียจมาทำ โดยเฉพาะภาคสี่   Terminator Salvation  นี่มัน ห่วยมากๆเลยครับผม ในส่วนภาคนี้ที่คาเมรอนทำ ได้ถูกบรรจุกลายเป็น  หนัง  The Top 100 Films of All Time ของโลกไปแล้ว แถมด้วย รายได้กว่า 500 ล้านเหรียญทั่วโลก แถมเป้น แผ่น laserdisc ที่ขายดีที่สุดในโลกด้วย

True Lies (1994)



เจมส์ ฟรานซิส เบคอน คาเมรอน (ชื่อเต็มของเจมส์ คาเมรอน)  กับรางวัล visual awards หรือเอ็ฟเฟ็กต์ต่างๆเหมือนเป็นของคู่กันไปแล้ว  หนังเรื่องนี้ก้เช่นกันที่ต่อยอกความสำเร็จต่อจาก T2 และเป็นเรื่องแรกที่อาโนลได้ค่าตัวบวกส่วนแบ่งหนังไม่ต่ำกว่า 30 ล้านเหรียญ แม้หนังจะไม่ทำเงินมากมายนักแต่ก็ไม่ขาดทุนเพราะได้รายได้จากทั่วโลกไปสมทบมากมาย (ทุนสร้าง 110 ล้าน ทำไปทั่วดลกกว่า 400 ล้านเหรียญ) หนังเรื่อง TRUE LIES ถือเป้นความพยายามใหม่ของคาเมรอนที่อยากเปลี่ยนแนวมาในแบบไม่ซีเรียสมากนัก มีอารมณ์ขันหน่อยๆ ซึ่งก็ถือว่าทำได้ดีมากๆเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ ฉากที่ ลี เคอร์ตีส เต้นนี่อย่างฮาครับผม



 ระหว่างที่เขากำลังทำเรื่องนี้เขาได้ไอเดียการรีเมกส์จากหนังฝรั่งเศสเรื่อง  La totale ซึ่งในระหว่างถ่ายทำนี่เอง คาเมอรอนซึ่งยังค้างคาใจจากหนังเรื่อง the abyss อยู่  เขาเกิดปิ๊งไอเดียการสำรวจซากไททานิคและเป็นที่มาของหนังที่ทำเงินอันดับหนึ่งทั่วโลก(เมื่อไม่ได้คิดค่าเงินแปรผันนะครับ)

Titanic (1997)




ในส่วนตัวผมว่าไททานิคดีมากครับ แต่คาเมรอนเอาองค์ประกอบอย่างหนึ่งมาใช้หนังดูดีมากๆถึงมากที่สุด นั่นคือวินาทีเเรกที่หนังฉายที่เป็นรูปแบบมิวสิควีดีโอของเซรีน ดีออน (เจ๊เซรีนแกก็รวยเละเทะจาหนังเรื่องนี้เช่นกัน ทั้งที่รวยมาระดับหนึ่งในตอนแรกแล้ว)



ในตอนเริ่มสร้างกับทุนอนุมัติเพียง 120 ล้าน แต่ทั้งปัญหาที่คาเมรอนต้องการความสมจิรงทำให้ทุนสร้างทะลักทะลุไปที่ 200 ล้าน(คล้ายๆยามาโต้ของญี่ีปุ่นที่สร้างอยู่ตอนนี้แหละ) แถมด้วยดารานำที่ค่อนข้างโนเนมอย่างดีคราปิโอเเละเคท วินสเลท ทำให้หนังถูกเชื่อว่านี่ต้องเป็น the abyss เรื่องที่สอง(คือเจ๊งหรือได้รายรับไม่น่าพิสมัย)แน่ๆ



แถมไปถูกเทียบและล้อเลียนกับ water world ของ เควิน คอสเนอรืที่เจ๊งไป แต่คาเมรอนไม่เคยโต็ตอบใดๆ เขามุ่งมั่นที่จะทำงานของเขา เเม้จะมีข่าวร้ายๆในกองถ่ายมามากมายในเรื่องของผู้บริหารของพาราเม้าท์ ฟ็อกซ์ที่กลุ้มใจกับเรื่องงบการสร้างที่อาจทำให้บริษัทถึงกับล้มละลายได้ เพราะพี่คาเมรอนแกเล่นสร้างเรือใหม่ถึงสองลำ ผลาญน้ำไป 19 ล้านลิตร ถ่ายทำอีก 160 วัน (เดิมแพลนแค่ 130 วัน)



แต่ไททานิคสร้างปรากฎการณ์ปากต่อปากที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน (นอกจาก the sound of music) ทุบสถิติขึ้นเกือบทุกอย่างที่เคยเกิด ทั้งขึ้นอันดับหนึ่ง บ้อกซ์ ออฟฟิส 15 สัปดาห์ต่อเนื่องกัน ฉายตั้งแต่มีนาคม 1988 ถึงตุลาคม 1988 ฟันไป 600 ล่านเหรียญเฉพาะในอเมริกาและฟันไปอีก 1200 ล้านเหรียญในตลาดนอกอเมริกา รวม 1,850 ล้าเหรียญทั่วโลก ยังไม่รวม VHS VCD DVD ของเล่นที่ระลึก ลิขสิทธิ์ต่างๆรวมถึง เพลงประกอบที่ฟันไป โดยเฉพาะ  My Heart Will Go On ขึ้นอันดับหนึ่งบิลบอร์ 16 สัปดาห์ กับ 11 ล้านก็อปปี้ใน สองเดือน ขึ้นอันดับหนึ่งเกือบทุกประเทศแถมด้วยการีเมกเพลงในภาษาท้องถิ่นกว่า 60 ภาษา


แถมด้วย 11 รางวัลออสการ์ จาก 14 รางวัลเข้าชิง ที่ีเป็นสถิติคู่กับ Ben-Hur ก่อนมี LOTR:THE RETURN OF THE KING มาทาบอีกเรื่อง



ในส่วนลิมิเต็ทอีดีชั่น ก็ออกมามากมายครับ แต่แบบที่หายากที่สุดคือ กล่องไม้ ที่มีเอกสารในเรือไททานิค ตั๋วเรือ ดีวีดี  ที่ทำไม่กี่ชิ้นผมไม่แน่ใจว่ากี่ชิ้นนะครับ แต่คิดว่าไม่น่าเกิน 1000 ชิ้นทั่วโลก ....หุหุหุ ขออวดว่ากระผมก็มีครับ ประมูลมาจากอีเบยืแบบแทบลากเลือด เดี๋ยวจะถ่ายรูปมาอวดสักหน่อย เป็นความภูมิใจของผมจริงๆที่ปาดหน้าไอ้กันคนนั้นชนะประมูลได้



คาเมรอนเริ่มกลับมาทำหนังโดยร่างบทของ Spiderman ออกมาจำนวน 47 หน้าเป็นเนื้อเรื่องของสไปเดอรืและสัตรูคือ electro กับ sandman เเต่ความหวังของเขาที่จะกำกับเรื่องนี้ต้องพังลง เมื่อบริษัทนายทุนในตอนแรก อย่างคารอลโก้ล้มละลายและมีปัญหาด้านส่วนตัวหลายอย่างเขาถึงล้มเลิกมันไป แล้วต่อมาถูกส่งต่อไปยัง แซมไรมิ



ส่วนตัวเขากลับไปช่วยเป็นโปรดิวเซอร์และร่างบทเองรวมถึงช่วยกำกับ(เฉพาะตอนสุดท้าย) ให้กับซีรี่ยืซุปเปอร์ฮีโร่ที่เขานำความคิดมาจากการ์ตูน ญี่ปุ่นในชื่อ Battle Angel แต่เอามาใส่ในตัวละครของเจสสิก้า อัลบ้าร์คือ     X5-452  ในชื่อ Max Guevara แต่ซีี่รี่ย์ dark angel นั้นดูยาก(ในความคิดผมนะ)เรตติ้งไม่ดี จึงทำให้หนังซีรี่ย์ของช่องฟ็อกซืมีอายุสั้นๆแค่สองซีซั่นเท่านั้น

จริงๆแล้ว คาเมรอนเองเคยมีผลงานในฐานะนักเขียนบทร่วมมาก่อนตั้งแต่เเรมโบ้ภาคสองไม่ว่าจะเป็น




 Point Break (1991) ที่ได้รับคำชมมากมายและเป็นจุดกำเนิดของคีอานู รีฟ  Strange Days (1995) หลายคนบอกว่าบทมันอ่อนเกินไป แต่ผมว่าก้สนุกดีครับ Solaris (2002) นี่หลุดโลกไปเลย  Exodus Decoded (2006)  หนังมันกึ่งๆหนังเกินไปไม่สุด จบก็ห้วนๆพิกล  The Lost Tomb of Jesus (2007) อันนี้เป็นที่กังขาจนคาเมรอนถูกต่อว่ามาเยอะมาก



 นอกจากในช่วงที่หายไปแกจะไปเป็นโปรดิวเซอร์-เขียนกับ ไททานิค ที่แกสร้างกล้อง สำหรับถ่ายใต้น้ำที่ความดันสูงรุ่นใหม่ขึ้นมา พี่แกเลยหยิบนำมาใช้ประโยชน์ กับหนังสารคดี ทั้งหมดสามเรื่องที่พอผ่านตาเราไปแล้วบ้างคือ  Expedition: Bismarck (2002) เป็นการสำรวจ เรือเยอรมันที่จมลงในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ที่แกทำร่วมกับสถานี discovery channel   Ghosts of the Abyss (2003) อันนี้แกทำให้วอลดิสนี่ย์และ IMAX   Aliens of the Deep (2005) อันนี้แกพัฒนามาเป็น 3D Imax ที่เน้นการเรืองแสง (แกก็เอาไปทำใน อวตารด้วย)



ล่าสุดที่ประกาศมาว่าแกกำลังสร้างหนังชื่อ The Dive นั้น ปีหน้าแกจะทำ Titanic มาในรูป 3D ด้วยครับ เรียกว่าฉบับ "Spectacular" TITANIC 3D ในปี 2010 (แต่ผมลองเข้าไปดูในเว็ปออฟฟิสเชียลก็ยังไม่เห็นนะครับ เห็นแต่ในพวกนิตยสารอย่าง Vareity ที่ลงข่าวอยู่ ).....  แต่ ณปัจจุบันออกมาแล้วครับเมื่อปีที่แล้ว






มาเข้าโปรเจคปัจจุบัน AVATAR หรืออวตาร ครับ (จริงๆตอนนี้แกโปรเจคซ์เยอะมากเรียกว่า"Project 880" ทั้งAVATAR , BATTLE ANGEL  การ์ตูนที่แกเอาแบบมาทำใน DARK ANGEL แต่ก็ไม่เห็นจะเหมือนหรือเกี่ยวกัน กับ THE DIVE ครับ)



คำว่า AVATAR หรืออวตาร มาจากรากศัพท์ภาษาฮินดูแปลว่า การแบ่งภาคเพื่อจุติ ซึ่งสามารถโยงไปกับ พระนารายณ์ พระพุทธเจ้า(นิกายวัชรยาน) ก็อ้างมาเข้ากับในหนังที่ปูเนื้อเรื่อง การแบ่งภาคเช่นกันครับ


เนื้อเรื่องของ  อวตาร หรือ AVATAR นั้นเเรกเริ่มเดิมทีถูกร่างโดยคาเมรอนเองตั้งแต่ปี 1994 ที่เขาร่างบทกว่า 80 หน้า กล่าวถึงความเลวหรือด้านเลวของสิ่งที่ชื่อว่ามนุษย์ที่ตักตวงสิ่งต่างๆเพื่อตัวเองโดยไม่สนใจ ว่าใคร สิ่งไหน อะไร จะเป็นยังไง
โดย แซม เวิททิงตั้น(Sam Worthington) จาก บท มาคัสใน เทอร์มิเนเตอร์ ซัลเวชั่น มารับบท เจค ซัลลี่ Jake Sully อดีตนาวิกโยธินพิการช่วงล่าง






ที่ถูกนำมา "อวตาร" ใน AVATAR PROGRAM แบ่งภาคเปลี่ยนรูปเป็นมนุษย์ต่างดาวเป็นชาวแพนดอร่าหรือชาว Na’vi   ที่สูงกว่าสามเมตร ทำให้เขาได้เห็นความสวยงามของเมืองและชีวิตที่เดินได้ เเละเขาก้เกิดหลงรักชาวนาวี่ คือ  Neytiri แต่ภารกิจของเขาคือการมาสอดแนมในกลุ่มชาวพื้นเมืองนี้เพื่อทรัพยากรธรรมชาติในนั้น ในที่สุดเขาก็ต้องเลือก .....



อวตาร หรือ AVATAR นั้น ใช้เวลาการสร้างร่างบทมาตั้งแต่ปี 1994 แก้เเล้วแก้อีก  จนมาถึงการทำจริงจังในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา ผลาญงบประมาณการสร้างเพียวๆมากกว่า 240 ล้านเหรียญ โดยยังไม่รวมค่าโฆษณาและประชาสัมพันธ์ ผมว่าฟ็อกซ์สตูดิโอเองแกก็หนาวๆเหมือนกัน (แต่โชคดีที่ได้เรต PG-13)  และใน วันที่  21 สิงหาคมที่ผ่านมา คาเมรอนได้นำหนังเวอร์ชั่นตัดต่อ 15 นาที ฉายในกว่า 50 ประเทศทั่วโลกรวมไทยแลนด์แดนสยาม



อวตารถูกกล่าวขวัญว่าเป็นการ์ตูนกึ่งอนิเมชั่นที่มีคนแสดงร่วมที่สมบูรณ์ที่สุดในปัจจุบันเท่าที่ผมเคยเห็นมา (จริงๆ ของโรเบิตร์ เซเมคิส ก็สวยมากๆอยู่เเล้วครับ จาก Polar express ,Beowulf,X'mas carrol) ภาพสวยสมจริง ออกแบบโดย lightstorm เป็นการผนวกเอา 3D มาร่วมในหนัง รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่คิดค้นใหม่เพื่อใช้ในการถ่ายเรื่องนี้เรื่องแรกได้แก่ Digital Asset Management (DAM) ยังไม่รวมถึงการขอความช่วยเหลือไปยังพิกซ่าเพื่อช่วยสร้าง  server farm จาก เครื่องกว่า 4,000 เซอร์เวอร์ ของ Hewlett-Packard servers ที่มี processor cores 35000 ตัว...โอ้วแม่เจ้า งบสร้างปัจจุบันคอนเฟิร์มมาที่ 350 ล้านเหรียญนะครับ


Avatar Movie Trailer [HD]

Avatar behind the scenes

Avatar - Making Of (Part.2) Creating The World Of Pandora + Scene [HD]

Avatar Exclusive -Behind The Scenes (The Art of Performance Capture)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 26, 2020, 01:20:35 am โดย TEAW »


---------------------------
   

Group: Global Moderator
Hero Member
*****

กระทู้: 1420
https://www.avelaclinique.com/
3. Harry Potter saga ทั้ง 7+1 ภาค  Harry Potter (film series)  2001-2011




ใครๆก็รู้ ใครๆก็รู้จักและเคยผ่านตาหนังของ  J. K. Rowling เรื่องนี้มาไม่มากก็น้อยไม่น่าเชื่อว่าจินตนการของ  J. K. Rowling


จะไม่เเค่จำกัดอยู่เพียงการเล่น Quidditch และการต่อสู้กับอาจารย์ศาสตร์เวทย์มืด แต่กับมีการเติบโตของตัวละคร หลายๆตัวละครหักมุมซะด้วยซ้ำ



ผมว่า  J. K. Rowling ตอนเขียนแกถึงจุดพีคมากๆสามารถเขียนเเละเพิ่มลักษณะพิเศษของตัวละคร สิ่งของเพื่อนำไปสู่บทขมวดของตอนจบได้อย่างยอดเยี่ยม ตัวหนังเองแม้จะขาดบางส่วนไปก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไรมากนัก




จินตนาการของ เจเคโรลิ่ง จะไร้ซึ่งประโยชน์ไปเลยถ้าหากว่าขาดซึ่งงาน เสปเชี่ยลเอฟเฟคซ์ที่สมจริง งานภาพระดับเทพๆ ซึ่งแน่นอนว่าพวกนี้ย่อมใช้ทีมงานด้านทำงาน เอฟฟคซ์สำหรับหนังที่เป็นระดับต้นๆของวงการ

John Richardson (Special Effects) Interview at the Harry Potter Studio Tour

harry potter behind the scenes part 1



ที่มีตัวนำคือ John Richardson คนนี้กวาดออสการ์ด้าน Best Visual Effects 3 ครั้ง





จาก แฮรี่ พอตเตอร์ สามภาคคือ Harry Potter and the Prisoner of Azkaban , Harry Potter and the Deathly Hallows – Part 1 , Harry Potter and the Deathly Hallows – Part 2





โดย จอห์น ริชาร์ดสันคอยคุมงานด้านเทคนิคพิเศษประสานงานกับ 5-6 สตูดิโอ






โดยมี 3สตูดิโอหลักที่ทำครบทั้ง 8 ภาค คือ Cinesite, Framestore และ Industrial Light & Magic



อีกหนึ่งหนังที่ทำให้งานด้าน CG ก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่องครับ



HP & the Prisoner of Azkaban - visual effects /behind the scenes/

'Harry Potter' visual effects team reveals amazing work behind 'Deathly Hallows' - [1/2]

Harry Potter Trailers 1-8 (High Quality)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 26, 2020, 01:35:18 am โดย TEAW »


---------------------------
   

Group: Global Moderator
Hero Member
*****

กระทู้: 1420
https://www.avelaclinique.com/
4. JURASSIC PARK 1993

หนังที่ทุกโพยและทุกเว็ปไซด์ ยกให้เป็นพี่เต้ยอันดับหนึ่งของหนังเอฟเฟ็คต์ตลอดกาล


ก็ไม่ต้องอะไรมากครับผมดูครั้งแรกที่ T-REX ปรากฎตัวนี่ ตัวเองลุกขึ้นมายืนโดยไม่รู้ตัวเลยครับ หลายๆฉากถือเป็นเทคนิคใหม่ๆ ความละเอียดของคอมพ์ที่ถูกนำมาใช้สร้างเจ้า t-rex ได้เป็นธรรมชาติมากๆ



แต่ความดีความชอบส่วนหนึ่งต้องยกให้ ไมเคิล ไครตัน ผู้เขียนซึ่งเป็นแพทย์มาก่อน (***********แต่ผมไม่ค่อยชอบแก เพราะแกเขียนหนังสือด่าคนไทยเรื่องพัฒพงษ์ได้น่าเกลียดมากๆ ประมาณว่าผู้หญิงไทยเหมือนสัตว์ประมาณลิงดำๆครับ ผมอ่านครั้งแรก อยากตืบมันจริงๆ ปากหมา+เหยียดหยามเชื้อชาติขนานเเท้เลย......ดังนั้นใครที่ชอบคิดบวกประมาณชาวต่างชาติมาเมืองไทยแล้วรักเมืองไทยมากกกกกกกกกกกกกอะไรประมาณนั้น คิดให้มันดีๆครับ ผมเองเป็นมนุษย์ชอบอ่านเว็ปนอกมากๆ แทบไม่ค่อยอ่านเว็ปในเมืองไทยเท่าไหร่เพราะข้อมูลในเมืองไทยบางอย่างบางข่าวต่างกับเมืองนอกราวฟ้ากับเหวครับ มีเยอะที่รักเมืองไทย แต่ก็มีมากเช่นกันที่เกลียดเมืองไทยเข้าไส้โดยเฉพาะในส่วนของ ที่เขาเรียกว่าประเทศจอมขี้โกง ซึ่งในส่วนนี้ผมเองเห็นด้วยนะกับหลายๆความเห็นของคนต่างชาติ ไม่ต้องดูอะไรมากครับแค่เเถวพัฒพงษ์ คุณลองซื้อบาบีคิว สมัยก่อนขายคนไทยไม้ละ ห้าบาท ฝรั่งเดินมาซื้อข้างๆมันขาย ห้าสิบเฉยเลย หรือจะเเท็กซี่มิเตอร์หลายๆคันที่มันไม่ชอบเปิดมิเตอร์โดยเฉพาะชาวต่างชาติ ซึ่งผมเข้าใจว่ามันก็มีทุกประเทศ แต่ส่วนเรื่องขี้โกงคนต่างชาตินี่คนไทยเด่นชัดเอามากๆครับ ต้องยอมรับ....โอ้นอกเรื่องอีกแล้วสินี่  )     




หลังจากสร้างมาสามภาคมีคนเรียกร้องกันมากมายให้สร้างภาคสี่ก็กำลังจัดทำอยู่นะครับ




โดยถ้าเราเข้าไปใน imdb เนี่ยเขาเขียนว่า กำลังอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการเพราะเห็นว่าบทมันเสร็ตหมดเเล้วแต่เป็นความลับสุดยอด







ความดังของจูราสสิกก็อย่างที่รู้ๆกันครับ ทำให้สินค้าไดโนสาร์ไม่ว่าจะของเล่นสวนสนุกขายดีเป็นเทน้ำเทท่า



https://www.route035.com/webboard/index.php?topic=174.0

แม้กระทั่งปัจจุบันสินค้าที่แพงที่สุดในอีเบย์ส่วนของ jurassic park ที่เป็น toys คือ ตัวนี้ครับ เจ้า jurassic park sideshow bronze ที่มีแค่ 50ชิ้นทั่วโลก รวมถึงหนังสือ ที่เป็นเล่ม first edition ครับ

Jurassic Park First Trailer
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 26, 2020, 10:54:43 am โดย TEAW »


---------------------------
   

Group: Global Moderator
Hero Member
*****

กระทู้: 1420
https://www.avelaclinique.com/



ในส่วนหนังสือ the making of Jurassic Park เล่มนี้ผมซื้อตั้งแต่โน่น ปี 93-94 แล้วครับ ก็มีอธิบาย เอฟเฟกซ์ สตอรี่บอร์ด ที่รู้สึกตอนนี้จะมีไฟลท์ PDF ในเน็ทด้วยนะครับ ลองหาอ่านเอาดูละกัน





ในส่วนงานด้าน สเปเชี่ยล เอฟเฟคซ์ของหนัง jurassic Park นี่ต้องยกให้เขาอันดับหนึ่งตลอดกาลเลย



 เพราะคุณลองคิดดู หนังฉายปี 1993 เริ่มซื้อลิขสิทธิ์ในปี 1989





จ้าง   Bob Gurr คนทำหุ่นยนต์ในคิงคอง มาทำหุ่นยนตร์ ไดโนเสาร์ตัวหลักในเรื่อง ร่วมกับ  Jack Horner



หนังใช้เวลาสร้างกว่า สามปี สมัยนั้นใช้คำเทคนิคพิเศษว่า digital effects ซึ่งคอมพิวเตอร์สมัยนั้นกว่าจะได้มาสักช็อตเหนื่อยแทบลากเลือดและเป็นงานแรกงานใหม่ในการทำงานแบบนี้


โดยทีมงานของจอร์จ ลูคัส ซึ่งเป็นเพื่อนซี้สปิลเบิร์ก นั่นก็คือช่วงต้นๆของ บริษัท ILM ...แค่เทียบเสปกคอมว่าทำได้นี่ก็สุดยอดมากเเล้วครับ



นอกจากนี้หนัง JURASSIC PARK ยังเป็นต้นกำเนิดของระบบเสียง  DTS ที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน









งานสมัยนั้น มันติดที่ความสามารถของคอมพิวเตอร์ จึงยังคงเห็นการใช้หุ่นยนต์มากมายในตัวหนังทั้งตัวใหญ่ ตัวเล็ก ครึ่งตัว แค่หัว หรือตัวใหญ่แบบ เอ่อ ใหญ่เท่าของจริงกันเลยครับ



รวมไปถึงงานที่ต้องใช้คนเข้ามาช่วยในการเคลื่อนไหว



นี่คือหนังต้นแบบของงานเสปเชี่ยลเอฟเฟคที่ล้ำหน้าเป็นพื้นฐานมาจนปัจจุบันจากฝีมือ พ่อมด สปิลเบิร์ก ครับ


Return to Jurassic Park: Part 1 of 6 - Dawn of a New Era
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 26, 2020, 02:02:11 pm โดย TEAW »


---------------------------
   

Group: Global Moderator
Hero Member
*****

กระทู้: 1420
https://www.avelaclinique.com/
5. The Matrix 1999



จะเรียกว่าฟลุ๊กก็คงไม่ถูกนัก หรือจะเรียกว่าเลียนแบบเอามาดี




 หลายๆสำนักเขาไม่จัด เดอะ เมทริกซ์ให้เป็นหนังเอฟเฟ็กส์แนวใหม่นะครับ เพราะภาพการเคลี่ยนไหวที่หลบกระสุน รวมถึงเสื้อผ้าหน้าผมนี่ พี่น้อง วอร์ชอว์สกี้แกเลียนแบบ(ก็อป)มา (รวมถึงถูกก็อปไปล้อเลียนอีกต่อก็มีอย่างรูปด้านบนครับ)





แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า นี่ก็ถือเป็นความคิดที่คนดูหลายๆคนก็อ้าปากค้างในไอเดีย บรรเจิด ถึงมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในโลกที่ไม่ใช่ความจริง



(แม้ว่าภาคสองและสามจะปัญญาอ่อน ออกทะเลไปไกลก็ตาม แต่ถ้าว่ากันในเรื่องงานด้านวิชอล เอฟฟเฟคร์แล้วล่ะก็หนังเรื่องนี้ก็จัดเป็นเบอร์ต้นๆเลยนะครับ โดยเฉพาะงานในด้านมุมกล้อง 360 องศารอบทิศทาง สุดๆไปเลย)





โดยรวมนี่คือหนังที่ถูกล้อเลียนมากที่สุดเรื่องหนึ่งในฉาก BULLET-TIME ครับ ถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่อันหนึ่งครับสำหรับผม รวมถึงฉากแอ็กชั่นในอีกหลายๆอันมันสนุกดี


Matrix - Official Trailer
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 26, 2020, 11:18:43 am โดย TEAW »


---------------------------
   

Group: Global Moderator
Hero Member
*****

กระทู้: 1420
https://www.avelaclinique.com/




อย่างที่บอกครับ มันดีที่งานด้านภาพ ที่ดังๆก็ Bullet time ซึ่งถึงแม้ท่าจะเลียนแบบเขามาแต่งานภาพนั้นทำหมุนรอบด้านมันสุดยอดครับ ดูเเล้วเฮ้ยทำได้ยังไง






อันนี้ต้องยกความดีความชอบให้ John Gaeta , Manex Visual Effects และ Animal Logic





หรือจะเป็นฉากการต่อสู้ที่ใช้การหมุนหกล้อง 360 องศานั้นก็ใช้ เทคนิคการเชื่อมกล้องที่มีชื่อเล่นว่า  racking ที่มีการพ่วงกล้องเป็นตัวโค้งใช้การเชื่อมภาพ คู่ไปกับการทำรางวิ่งถ่ายแบบหนังทั่วๆไป







ซึ่งเทคนิคนี้นำมาใช้ในการเชื่อการสร้างภาพ 3D ที่ใช้ในปัจจุบันในการถ่ายภาพด้านต่างๆแล้วประมวลผลออกมา ซึ่งการใช้เทคนิคกล้องของ bullet time นั้นเป็นสิ่งใหม่ (เลียนแบบเเต่ท่า) ทำให้งานด้านการสร้างของภาคแรกกินเวลาถึง 5 ปี ทีเดียว


making of the Matrix Part 1 behind the scenes

The Matrix - Bullet time + Helipad Fight Scene Super High Quality
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 26, 2020, 02:11:07 pm โดย TEAW »


---------------------------
   

Group: Global Moderator
Hero Member
*****

กระทู้: 1420
https://www.avelaclinique.com/
6. 2001: A Space Odyssey 1968



ผมว่าคงไม่มีใครไม่รู้จัก หนังอมตะ อันเอกอุ ของ Stanley Kubrick เรื่องนี้




แม้ว่าเทคนิคด้าน Visual Effects  สมัยนั้นอาจทำอะไรมากไม่ได้ มีเพีบยงการใช้งานด้าน สตอปโมชั่น การใช้โมเดลย่อส่วน




และที่ขาดไม่ได้คือจินตนาการการออกแบบฉาก ชุด จินตนาการของยานอวกาศ และสิ่งของในอนาคตที่ทำออกมาได้ล้ำมากเเล้วสำหรับอุปกรณ์ที่มีในยุคนั้น



มีการสร้างเครื่อง centrifuge เพื่อใช้หมุนในฉากที่ต้องการให้มีการเคลื่อนที่เหมือนยานหมุนอยู่ในอวกาศ



การสร้างภาพ Star Gate โโยใช้เทคนิคการทำกระจกมาเป็นสลิทเหมือนที่ใช้ในปัจจุบันเเต่สมัยนั้ต้องใช้เป็นพันเลยทีเดียว สมัยนั้นเรียกว่า slit-scan photography  เหมือนเวลาเราอยากถ่ายภาพอะไรให้มันยืดออกก็สอดสลิทเข้าไประหว่างเลนส์นั่นเอง



รวมถึงเทคนิคการสะท้อนภาพที่เรียกว่า Front projection effect คือการยืนหน้าภาพนั้นล่ะเพียงเเต่ใช้มุมเอียงเเสงทำให้ดูสมจริงดีกว่าการใช้ฉากธรรมดาๆ




นอกนั้นก็ใช้พวกสลิงมาช่วยเหมือนในหนังปัจจุบันเพียงเเต่เปลี่ยนเเนวจากนอนมาเป็นตั้งเท่านั้นเอง แต่เพียงเท่านี้ก็ใช้เทคเนิคที่มีอยู่ในยุคนั้นเเทบจะทั้งหมดเย และหนังเรื่องนี้จัดอยู่ในทำเนียบหนัง ไซไฟ คลาสสิคที่ดีที่สุดตลอดกาล และนับเป็นเรื่องแรกที่นำเอาจินตนาการทางอวกาศมาเป็นภาพได้สวยงามเเละสำเร็จเป็นครั้งเเรก


The Making Of "2001: A Space Odyssey" - Part 1 of 4


2001: A Space Odyssey - Official Trailer [1968] - HD


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 29, 2020, 01:36:19 am โดย TEAW »


---------------------------
   


 

Theme © PopularFX | Based on PFX Ideas! | Scripts from iScript4u เมษายน 26, 2024, 10:50:47 am