หน้าแรก ช่วยเหลือ ค้นหา เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก
ยินดีต้อนรับ,บุคคลทั่วไป. กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.
เมษายน 30, 2024, 08:26:00 am
ข่าว: SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: 50+8 HORROR Film หนังสยองขวัญ หนังผี หนังสยอง หนังแหวะ ที่คุณไม่ควรพลาดชม  (อ่าน 207256 ครั้ง)

Group: Global Moderator
Hero Member
*****

กระทู้: 1420
https://www.avelaclinique.com/


หนังของคิงส์ที่เด่นๆคือมักให้น้ำหนักตัวละครเดินเรื่องแบบเต็มสูบ คือพูดง่ายๆคุณหานักแสดงมือถึงล่ะก็ ไม่ต้องห่วงหนังเรื่องนั้นต้องเป็นหนังที่ดีแน่ๆ หนังเรื่องนี้ก็เช่นกันครับ อาจเพราะทั้งเคที่เบส์แสดงได้ดีจนเวลาเห็นเธอในไททานิก ยังนั่งนึกว่านี่มันคนเดียวกันเหรอเนี่ยอะไรประมาณนั้น



เนื้อเรื่องจับเอานักเขียนนวนิยายชื่อดัง พอลเชลดอนที่ดันไปหาที่หลบเขียนหนังสือเล่มใหม่แล้วเกิดอุบัติเหตุกับเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ปรากฏว่ามีคนมาช่วยเขาไว้ซึ่งก็เป็นแฟนหนังของเขานี่แหละ แต่เรื่องดันมาเกิดที่ว่าคนที่มาช่วยเขาเป็นแฟนหนังสือ(อดีตพยาบาลที่มีประวัติทารุณกรรมมาก่อน)ที่ “เกิน” ไปน่ะสิครับ ประมาณพวก สตอร์เกอร์ที่คลั่งปีนหาดารา ส่งจดหมายขู่ แต่เบตส์นี่คลั่งแบบหลุดโลกไปเลย จึงเกิดเรื่องราวสยองๆแบบดูแล้วเสียววาบๆตลอดเรื่อง เพราะตัวละครคล่อยๆปล่อยของออกมาเรื่อยๆนี่แหละครับ






« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 24, 2020, 04:05:53 pm โดย TEAW »


---------------------------
   

Group: Global Moderator
Hero Member
*****

กระทู้: 1420
https://www.avelaclinique.com/
21. The Blair Witch Project


หนังปี 1999 ที่กลายเป็นหนึ่งในหนังซึ่งมีทุนสร้างกระจิดริดแต่กลับสร้างปรากฏการณ์ทำเงินและโด่งดังชนิด ทำให้คนในโปรเจ็ครวยกันเละแบบถูกล็อตโต้ แบบหนังสมัยนี้แนวๆเดียวกับ SAW , PARANORMAL ACTIVITY
 


เนื้อเรื่องหรือภาพที่ไม่ค่อยมีอะไรมากมายแต่เกี่ยวกับกลุ่มนักศึกษาที่ไปพบเจอกับเรื่องประหลาดประมาณแม่มดหมอผี แล้วค่อยๆหายหรือตายไปทีละคน เหมือนหนังเกรดบีทั่วๆไป แต่ต่างที่ว่าหนังเรื่องนี้ใช้กล้องวีดีโอแบบทั่วไปถ่ายทำหรือนำเสนอออกมาแล้วกระจายข่าวตามเน็ตหนังสือพิมพ์มหาวิทยาลัยในการโฆษณา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 24, 2020, 04:07:41 pm โดย TEAW »


---------------------------
   

Group: Global Moderator
Hero Member
*****

กระทู้: 1420
https://www.avelaclinique.com/


เหมือนกับว่าเนื้อเรื่องในหนังเป็นเรื่องจริงที่เก็บได้จากกล้องที่พบแล้วบรรดานักศึกษากลุ่มนั้นได้หายไป จึงกลายเป็นกระแสนิยม และทำให้หนังทุนสร้างไม่ถึง 5 แสนเหรียญเรื่องนี้ทำเงินทั่วโลกไปกว่า 250 ล้านเหรียญ ส่งผลให้เกิดโปรเจ็คภาคต่อตามมา (แต่ภาคต่อ Book of Shadows: Blair Witch 2 กลายเป็นหนังติดอันดับห่วยแตกประจำปีนั้นไป เพราะตัวหนังไม่ได้มีอะไรที่ “สด”หรือแปลกเหมือนต้นฉบับอีกแล้ว)



แต่แม้บางคนจะไม่ชอบเพราะภาพที่ชวนเวียนหัวในหนัง แต่ก็ถือว่าเป็นหนังเริ่มต้นการนำเสนอที่กล้าและใหม่ในวงการเป็นต้นแบบหนังสมัยใหม่ที่ดังในยุคปัจจุบันเช่น REC หรือ cloverfields เลยด้วยซ้ำไปครับ






ระดับการเบือนหน้าหนี(ความสยอง) : 2/10 (เฉยเมยมากๆ)
ระดับความรู้สึกอยากขย้อนของเก่า(ความโหด) : 1/10 (ไรว้า)
ระดับการเต้นของหัวใจ(ความระทึก-น่าตื่นเต้น) : 7/10 (พอไหวๆ แต่ไม่สุด)
ระดับความรู้สึกหลอน (มีปฏิกิริยากับตัวหนัง) : 5/10 (ปวดหัวกับกล้อง)
โดยรวม : 6.5/10 (แค่มันเป็นต้นเเบบความคลาสสิคเท่านั้นเอง)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 24, 2020, 04:09:06 pm โดย TEAW »


---------------------------
   

Group: Global Moderator
Hero Member
*****

กระทู้: 1420
https://www.avelaclinique.com/
22. 28 Days Later…



ผมว่า Daniel Boyle หรือที่ชอบเรียกกันว่า Danny Boyle เป็นหนึ่งในผู้กำกับที่เข้าใจการนำเสนอหนังที่ไม่ค่อยจะซ้ำแนวกันเลยและทำออกมาได้ดีซะด้วย คือพูดง่ายๆว่าทำหนังมาไม่เยอะ สองสามปีเรื่อง และแต่ละเรื่องถ้าไม่บอกว่าเป็นผู้กำกับคนเดียวกันก็ยากที่จะทราบนะครับว่าใครทำ  <Slumdog Millionaire, 127 Hours, 28 Days Later, Trainspotting>





ในเรื่อง 28 Days Later นี้นำเสนอหนังซอมบี้ในมุมมองอีกแบบหนึ่งซึ่งต่างไปกับ หนังแนวซอมบี้เก่าๆที่จับเอาตัวเอกคือ จิม (Cillian Murphy) ที่ตื่นขึ้นมาหลังการระบาดของเชื้อไวรัส ในวันที่ 28 นับจากเหตุการณ์เชื้อไวรัสระบาดและทำให้ผู้คนกลายเป็นซอมบี้ไป เนื้อเรื่องไม่มีอะไรโดดเด่นหรือแปลกใหม่ แต่ไอเดียของภาพที่นำเสนอออกนั้น น่าดู น่าเชื่อถือและน่าติดตามชมเพราะสมจริงเป็นอย่างมาก ในส่วนตัวผมว่าซิลเลี่ยน เมอร์ฟี่เป็นนักแสดงที่เก่งคนหนึ่งเลยนะครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 24, 2020, 04:10:40 pm โดย TEAW »


---------------------------
   

Group: Global Moderator
Hero Member
*****

กระทู้: 1420
https://www.avelaclinique.com/


ผมว่าเรื่องนี้เหนือกว่า I am Legends เยอะเลยในส่วนของการลำดับภาพ มุมภาพที่ออกมา รวมถึงโทนสีและภาพของเมืองต่างๆในอังกฤษ  (แต่ก็ชอบ I am Legendsอนะครับ)
ในส่วนตัวหนังยังมีตามมาอีกสองภาคนะครับ คือ  28 Weeks Later, กับ  28 Days Later: The Aftermath,




ระดับการเบือนหน้าหนี(ความสยอง) : 10/10 (ดีอ๊ะ สุดยอดจริงๆนะ ไม่เเหวะมากแต่ขนลุก)
ระดับความรู้สึกอยากขย้อนของเก่า(ความโหด) : 7/10 (หลายฉากดูธรรมดาๆ)
ระดับการเต้นของหัวใจ(ความระทึก-น่าตื่นเต้น) : 10/10 (สุดยอดเลย มันลุ้นไปกับตัวเอกตลอดเวลา)
ระดับความรู้สึกหลอน (มีปฏิกิริยากับตัวหนัง) : 9/10 (การนำเสนอการฟื้นจากโคม่านี่เป็นอะไรที่น่าชื่นชม)
โดยรวม : 9/10 (ลุ้นระทึก เเปลก แหวก มุมภาพ โอ้ยมีอะไรที่น่าจดจำมากมาย)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 24, 2020, 04:11:22 pm โดย TEAW »


---------------------------
   

Group: Global Moderator
Hero Member
*****

กระทู้: 1420
https://www.avelaclinique.com/
23. Blood and Black Lace



หรืออีกชื่อว่า Sei donne per l'assassino เป้นหนังยุคใหม่ของอิตาลี ช่วงปี 1964 ครับ ผมมีโอกาสได้ดูหนังเรื่องนี้โดยบังเอิญในเว็ปหนึ่ง ดูแล้วก็นึกภาพตัวละคร ในหนังยุคปัจจุบันหลายๆเรื่องแล้วก็ถึงบางอ้อว่า อ๋อ มันอิงตัวละคร Darkman (1930-1990) มาผสมกับ Friday the thirds แต่ตัวหนังน่าจะเป็นต้นฉบับของ เจสันนะครับเพราะบทภาพยนตร์เขียนมาตั้งแต่ ยุค 50





เนื้อเรื่องก็คล้าย Friday 13 th หรือ หนัง สแลชเชอร์เรื่องอื่นๆน่ะแหละครับ แต่ความโหดของหนังสมัยนั้นนี่โหดเอาเรื่องทีเดียว แต่หนังเข้าใจทำว่าเป็นการไล่ล่าในวงการแคบคือบรรดานางแบบทั้งหลายครับ ตอนจบนี่ก็อึ้งๆใช้ได้ทีเดียว




ระดับการเบือนหน้าหนี(ความสยอง) : 7/10 (ถ้าดูสมัยนั้นต้องเต็มสิบ)
ระดับความรู้สึกอยากขย้อนของเก่า(ความโหด) : 7/10 (เหมือนข้างบน)
ระดับการเต้นของหัวใจ(ความระทึก-น่าตื่นเต้น) : 8/10 (ลุ้นดีนะผมว่า)
ระดับความรู้สึกหลอน (มีปฏิกิริยากับตัวหนัง) : 5/10 (อาจเพราะดูมาเยอะ)
โดยรวม : 7/10 (ดีครับ เป็นอีกเรื่องที่คลาสสิค)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 24, 2020, 04:13:32 pm โดย TEAW »


---------------------------
   

Group: Global Moderator
Hero Member
*****

กระทู้: 1420
https://www.avelaclinique.com/
24. Grindhouse : Death proof




สไตล์หนังของ เควนติน ตารันติโน่นั้นมีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบ บางคนบอกเหมือนแกจะเป็นพวกที่แฝงปรัชญาในหนัง แต่ผมดูไงก็มองไม่เห็นเงาของ โซเครติส เพลโต อริสโตเติล เซน เต๋า พลั้งค์ เลยแม้แต่นิดเดียว


แต่หนังของเขามันเต็มไปด้วยลูกบ้าและความกล้าที่ทำง่ายๆออกมาประมาณว่าคิดอะไรก็ทำมันอย่างนั้น แต่ความคิดของเขามักเต็มไปด้วยไอเดียที่มากล้นและความบ้าแบบถึงกิ๊นซึ่งบางทีก็ดูแสนฉลาด แต่บางทีก็งงจนหลายๆคนตามไม่ทัน ...



แต่ไม่ว่าจะยังไง เขาก็ถือเป็นคนทำหนังที่ครบเครื่องคนหนึ่งเพราะ เขาเป็นผู้กำกับไม่กี่คนที่ทั้งกำกับหนังได้พร้อมกับเขียนบทหนังเองก็ได้ แถมยังแสดงเองได้(แสดงดีซะด้วย) นอกจากนี้จุดเด่นของหนังเขาคือ รุนแรง ประชดประชัน หักมุม(ในหลายๆเรื่อง)จนบางครั้งดูซาดิสส์เกิน ไม่เชื่อลองไปดู pulp fiction ฉากอัดถั่วสิ เเต่นั่นล่ะคือสไตลส์ของแกล่ะ


ในส่วนของหนังเรื่องนี้ ผมว่าแกเก็บกดแบบสุดขั้วช่วงหนึ่งของชีวิตเลยกับการแสดงออกของตัวละครในหนังที่โรคจิตเข้าขั้นในการไล่ล่าอัดคนโดยเฉพาะคนสวยๆแบบสุดขั้ว



คำหยาบแบบแก๊งคนดำแถวๆนิวยอร์คยังต้องอายที่ตัวละครประเคนสำรอกออกจาปาก ฉากที่มีบทพูดมาก มาก แล้วก็มาจนน่าเบื่อแล้วก็ตัดฉากโหดหรือเปลี่ยนรูปแบบมุมภาพเข้ามาแบบงงๆ ว่าหนังเรื่องเดียวกันป่าววะ คือพูดง่ายๆว่า เอามันเข้าว่า อยากตัดตรงไหนก็ตัดเข้ามา อยากทำอะไรก็ทำ ดูแล้วรู้สึกหดหู่จนบอกไม่ถูก จะสยองก็พูดไม่เต็มปาก แต่ใช้คำว่าบ้า ถึง บ้ามากๆ 


หนังมีไอเดียที่ตอนจบมันสุด ดูแล้วสนุกว่าหนังแฝดอย่าง Planet Terror มากมาย เอาเป็นว่าแค่ตัวหนังสิบห้านาทีสุดท้ายก็มีค่าพอที่จะลบความน่าเบื่อของตัวหนังทั้งหมดได้เลย ดังนั้นถ้าคุณเป็นคนขี้เบื่อ แล้วอยากดูอะไรที่มันสยอง(?) จงดูหนังเรื่องนี้สิบห้านาทีสุดท้าย ... จบข่าว





ระดับการเบือนหน้าหนี(ความสยอง) : 5/10 (มันน่าเบื่อในหลายๆฉาก ไม่ชอบมุมแช่กล้อง)
ระดับความรู้สึกอยากขย้อนของเก่า(ความโหด) : 10/10 (ไอ้บ้าห้าร้อย)
ระดับการเต้นของหัวใจ(ความระทึก-น่าตื่นเต้น) : 10/10 (สิบห้านาทีสุดท้ายลบปมด้อยหนังทั้งเรื่องได้เลย)
ระดับความรู้สึกหลอน (มีปฏิกิริยากับตัวหนัง) : 9.5/10 (เชื่อดิ เมืองไทยก็มีคนแบบนี้มากมาย ดูคนขับชนหมอมุกสิ)
โดยรวม : 8/10  (ถ้าหนังมันฉายแค่สิบห้านาทีท้ายเอาไปเลยเต็มสิบ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 24, 2020, 04:17:24 pm โดย TEAW »


---------------------------
   

Group: Global Moderator
Hero Member
*****

กระทู้: 1420
https://www.avelaclinique.com/
25.The Mist



ในอดีต กาลิเลโอ กาลิเลอิ ออกมาบอกว่าโลกไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาล ซึ่งขัดกับคำสอนขอศาสนจักร ผล ถูกขังคุก ,เซอร์ ไอแซก นิวตัน ออกมาค้านทฤษฎีของอริสโตเตอลเรื่องแรงโน้มถ่วงของโลกในของที่หนักไม่เท่ากัน ผลถูกด่าอยู่หลายปี .



ชาลล์ ดาร์วิน ออกมาค้านพระคัมภีร์ไบเบิลที่กล่าวว่าพระเจ้าใช้เวลาสร้างโลกทั้งหมด 6 วัน แต่กลับบอกว่ามนุษย์วิวัฒนาการมาจากลิง ผลถูกสาปแช่งว่าเป็นคนต่อต้านพระเจ้า .....



 นี่แค่ตัวอย่างของการพูด การทำ หรือพิสูจน์ว่าสิ่งนั้นๆน่ะมันเป็นความเชื่อที่ฝังหัวคน มันไม่ใช่เรื่องจริงเลย การที่คนเราเคยทำอะไรแล้วมันคิดว่าถูกต้อง หรือเชื่อว่ามันถูกต้อง เชื่อว่ามันจริง แต่พอคนๆหนึ่งเอาหลักฐานทั้งคนพิสูจน์ต่างๆนาๆมา กลับไม่เชื่อกัน .....



 แต่ผมกลับชอบแนวทางการปฏิวัติกับความคิดการยึดติดบางอย่างที่ถูกสอนๆกันมานะ หนังเรื่องนี้ก็เช่นกัน มันปฏิวัติความคิดมากมายของหนังทั้งหลายแหล่ที่ตัวเอกมักจะคิดอะไรถูก ตัดสินใจถูกและเป็นฮีโร่ที่ช่วยให้คนรอดชีวิตมากมาย



สตีเฟ่น คิงส์คนเขียนบทและหนังสือเล่มนี้นั้นถือเป็นนักเขียนที่ผมว่ามือดีที่สุดของโลก เพราะคิงส์ไม่แค่เขียนนวนิยายสยองได้อย่างกับมีบรรพบุรุษเป็นหมอผี แต่กลับเขียนนิยายที่ลึกซึ้ง จนถึงซาปซึ้งแบบท่อน้ำตาแตกในระดับที่ได้ออสการ์เอาง่ายๆ ไม่ว่าจะ Shawshank Redemption , The Green miles , Stand by me ฯลฯ



 ในเรื่องเดอะมิสส์ก็เช่นกันครับ หนังดูเหมือนง่ายๆ มีหมอกประหลาดจากไหนก็ไม่รู้เอาสัตว์ประหลาดมาคอยจู่โจมไล่กินคนในเมืองเล็กๆที่ห่างไกล(แบบหนังสยองเกรดบีถึงเอชอบทำนักทำหนา)



แถมตัวหนังนั้นแอบเต็มไปด้วยการวางพล็อตเรื่องตัวละครที่เหมือนผ่านมาแล้วผ่านไป(ตาย)  อย่างหนังสยองเรื่องอื่นๆมาขมวดปมเอาตอนท้ายได้อย่างกระชากอารมณ์คนดุให้กระเจิดกระเจิงกับตอนจบจริงๆ จัดเป็นหนังสยองสัตว์ประหลาดที่หักมุมที่สุดที่เคยดูครับ พูดมากไม่ได้เดี๋ยวไม่หักมุม







ระดับการเบือนหน้าหนี(ความสยอง) : 7/10 (โอ้ว ไม่ได้สยองกับปีศาจ แต่สยองกับใจคน)
ระดับความรู้สึกอยากขย้อนของเก่า(ความโหด) : 5/10 (ผมเฉยๆนะ)
ระดับการเต้นของหัวใจ(ความระทึก-น่าตื่นเต้น) : 10/10 (สุดยอดไปเลยกับแนวทางการวางตัวหนัง กับดักหลอกคนดู)
ระดับความรู้สึกหลอน (มีปฏิกิริยากับตัวหนัง) :10/10 (นี่คือหนังหักมุมที่ดีที่สุดอีเรื่องที่จะจำไว้ตลอดไป)
โดยรวม : 9.9/10 (มันดีที่ไอเดีย ความเถื่อนเห็นแก่ตัวของคน และตอนจบ)


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 24, 2020, 04:22:33 pm โดย TEAW »


---------------------------
   

Group: Global Moderator
Hero Member
*****

กระทู้: 1420
https://www.avelaclinique.com/
27.  Let the Right One In (original title: Låt den rätte komma in)



หนังสยองจากยุโรปในปี  2008 ที่เต็มไปด้วยชั้นและเชิงของบท แทบจะพลิกบทของแวมไพร์ในความคิดของใครๆหลายคนที่มักติดกับเจ้าหนังแวมไพร์ Twilight ที่ผมดูไงก็ไม่เข้าใจว่าทำไมมันทำเงินได้(วะ)



 หนังเรื่องนี้นำเสนอแวมไพร์ที่ตำกต่างกับหนังเรื่องอื่นเพราะใช้ แวมไพร์เด็กแทนที่จะเป็นแวมไพร์หนุ่มรูปงามหรือแวมไพร์สาวเซ็กซี่หรือแม้แต่แวมไพร์ผิวดำที่ดูขบขัน


 เท่าที่จำได้เห็นแวมไพร์เด็กนี่มีแค่ Interview with the Vampire เท่านั้น  (คริสเตน ดันน์ ในทบ คลอเดีย)  นอกจากนี้ยังมีความรักของเด็ก (อายุ 12) กับฉากการฆ่าแบบโหดๆ  .....



 ในส่วนตัวหนังนั้นผมเข้าใจเลยว่าคนสวีเดนนั้นผู้ชายนี่หน้าตาเหมือนผู้หญิงๆจริงๆ กับบทออสการ์เด็กอายุสักสิบสองสิบสามที่ถูกรังแกเป็นประจำแล้วก็ระบายทางออกด้วยการใช้มีดกวัดแกว่งจิ้มเสา


 แล้วก็มาพบกับเพื่อนร่วมตึกที่ย้ายเข้ามาเป็นเด็กสาวอายุรุ่นเดียวกัน จากคนไม่มีเพื่อนมาเจอสาวน้อยหน้าตาประหลาด(กระเซอะกระเซิงแต่มีเสน่ห์) จนเกิดความเป็นเพื่อนหรือความรัก แล้วก็แทรกไปด้วยเหตุการณ์การฆาตรกรรม ที่สุดแสนจะประหลาด


หนังมีไอเดียดูสนุกมากมาย แถมด้วยโหดแบบมีการไว้เชิงมากการบดบังฉากเล่นกับกล้องที่ไม่ต้องมีเลือดมากมายเหมือน Hostel แต่กลับดูน่ากลัวและน่าขนลุกกว่า รวมถึงมีชั้นเชิงมากกว่า



ไม่รู้สิผมว่านะ หนังแวมไพร์เรื่องไหนๆนี่ถ้ามาพร้อมหิมะแบบเรื่องนี้กับ 30 Days. นี่มันน่ากลัวจริงๆ นักวิจารณ์บางคนยกให้เป็นหนังระดับมาสเตอร์พีซไปเลยนะครับ





ระดับการเบือนหน้าหนี(ความสยอง) : 8/10 (ใช้ได้เลยนังหนู)
ระดับความรู้สึกอยากขย้อนของเก่า(ความโหด) : 5/10 (อันนี้ไม่เท่าไหร่)
ระดับการเต้นของหัวใจ(ความระทึก-น่าตื่นเต้น) : 10/10 (ใครเป็นโรคหัวใจไม่ควรดู มันระทึกและกดดดันในตัว)
ระดับความรู้สึกหลอน (มีปฏิกิริยากับตัวหนัง) :10/10 (แวมไพต์เด็ก ใช่เด็กก็ฆ๋าคนได้นี่หว่า อ๊ะจึ๋ย)
โดยรวม : 9/10 (สนุก ระทึก ตื่นเต้น โหด แล้วก็เด็ก)


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 24, 2020, 04:26:25 pm โดย TEAW »


---------------------------
   

Group: Global Moderator
Hero Member
*****

กระทู้: 1420
https://www.avelaclinique.com/
28. Nosferatu, eine Symphonie des Grauens(1922) + 1979


นี่คือแดร็กคิวล่าภาคอินทรีเหล็ก หรือพูดง่ายๆก็คือแดร็กคูล่านั่นแหละเพียงแต่ลอกหรือก็อปปี้แบบผิดลิขสิทธิ์มาโดยชาวเยอรมัน จนท้ายสุดต้องขึ้นโรงขึ้นศาลกันไป  น็อตเฟอราตูนั้นมีดีที่ไอเดียฉากบางฉาก



อาจเพราะเป็นหนังขาวดำผมเลยดูไม่รู้สึกมันจะสุดมากมาย แต่การที่ได้รับคำชมมากมานทั้งเว็ปมะเขือเทศกับ IMDb ไม่จัดให้อยู่ในห้าสิบเรื่องสงสัยถูกด่า ไม่รู้สิอาจเพราะเราไม่อยู่ในยุคนั้นมั้ง ก็เลยดูแล้วเฉยๆ แต่ค่อนข้างชอบไอเดียของเงาตัวนอสเฟอราตูที่ดูน่ากลัวได้อารมณ์ดี


ในส่วนของหนังหลายๆคนบอกว่ามันเป็นแนว Expressionism (แบบบแสดงอารมณ์ภายใน) แต่ผมเองก็ดูว่าไม่ค่อยเหมือนนะครับ


ดูเหมือนหนังผีเรื่องหนึ่งที่มีไอเดียค่อนข้างดีในรูปแบบตัวนอสเฟอราตู (คำว่านอสเฟอราตูแปลว่า ผีดิบ ในภาษาโรมาเนียน) หลายๆฉากดูไปดูมาก็ดีระดับหนึ่งเมื่อนึกถึงยุค ปี 22 ครับ



 แต่ถ้าเราลองมาดูหนังสร้างในปี 1979 นี่กลับพบว่ามันเป็นคนละเรื่องกันเลย ทั้งเนื้อเรื่องที่ฉับไว หลายๆฉากก็เป็นเอกลักษณ์ที่มักพบในหนังผีปัจจุบัน ดังนั้นในส่วนตัวผมชอบปี 1979 มากกว่าเยอะเลยครับ





ระดับการเบือนหน้าหนี(ความสยอง) : 2/10 (เฉยๆ)
ระดับความรู้สึกอยากขย้อนของเก่า(ความโหด) : 2/10 (ตลกด้วยซ้ำไปหลายๆฉาก)
ระดับการเต้นของหัวใจ(ความระทึก-น่าตื่นเต้น) : 9/10 (มันระทึกใช้ได้นะครับ)
ระดับความรู้สึกหลอน (มีปฏิกิริยากับตัวหนัง) : 9/10 (นี่มันแดร็กคิวล่าภาคสัตว์ประหลาด)
โดยรวม : 8/10 (มันคลาสสิค)

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 24, 2020, 04:29:08 pm โดย TEAW »


---------------------------
   


 

Theme © PopularFX | Based on PFX Ideas! | Scripts from iScript4u เมษายน 30, 2024, 08:26:00 am