Route035 > Food Court & Travel

L'Atelier de Joël Robuchon, Bangkok The best Restaurant in my heart.

(1/2) > >>

venus:
L'Atelier de Joël Robuchon, Bangkok

L'Atelier de Joël Robuchon Bangkok  , l atelier de joel robuchon bangkok opening , joel robuchon bangkok menu , joel robuchon bangkok pantip , atelier joel robuchon bangkok pantip , l'atelier de joel robuchon ราคา , l'atelier de joel robuchon bangkok menu , le bouchon mahanakorn , le bouchon mahanakorn , joel robuchon bangkok pantip ราคา , l'atelier de joel robuchon bangkok menu , robuchon bangkok lunch set , joel robuchon bangkok menu , joel robuchon bangkok pantip , joel robuchon bangkok lunch , joel robuchon bangkok review , l'atelier de joël robuchon Bangkok , l'atelier de joel robuchon bangkok pantip , l'atelier de joel robuchon bangkok review , joel robuchon bangkok price , l'atelier de joël robuchon bangkok pantip , l'atelier bangkok pantip , l'atelier de joël robuchon pantip , robuchon bangkok menu , ลัตเตอลิเย่ เดอ โจเอล โรบูชง กรุงเทพ , โจเอล โรบูชง pantip , โรบูชง ราคา ,โรบูชง กรุงเทพ โจเอล , โรบูชง ราคา , joel robuchon ราคา , อาคารมหานคร คิวบ์ , l'atelier de joel robuchon ราคา , joel robuchon bangkok ราคา , โร บู ชง กรุงเทพ , โจเอล โรบูชง ราคา , L'Atelier de Joël Robuchon wongnai , L'Atelier de Joël Robuchon วงใน , l'atelier de joel robuchon  wongnai , l'atelier de joel robuchon วงใน ,   joel robuchon wongnai , joel robuchon วงใน , joel robuchon Bangkok wongnai , joel robuchon Bangkok วงใน , robuchon bangkok  wongnai , robuchon bangkok  วงใน , L'Atelier de Joël Robuchon Bangkok  wongnai , L'Atelier de Joël Robuchon Bangkok  วงใน ,  โจเอล โรบูชง wongnai ,  โจเอล โรบูชง  วงใน , ลัตเตอลิเย่ เดอ โจเอล โรบูชง wongnai , ลัตเตอลิเย่ เดอ โจเอล โรบูชง วงใน , L'Atelier de Joël Robuchon พันทิป , L'Atelier de Joël Robuchon ที่จอดรถ , L'Atelier de Joël Robuchon อะไรอร่อย , L'Atelier de Joël Robuchon เมนูแนะนำ , L'Atelier de Joël Robuchon  recommended dishes , L'Atelier de Joël Robuchon พันทิบ , joel robuchon พันทิป , joel robuchon พันทิบ , joel robuchon ที่จอดรถ , joel robuchon อะไรอร่อย , joel robuchon เมนูแนะนำ , joel robuchon recommended dishes ,  L'Atelier de Joël Robuchon Bangkok  พันทิป ,  L'Atelier de Joël Robuchon Bangkok  พันทิบ ,  L'Atelier de Joël Robuchon Bangkok  ที่จอดรถ ,  L'Atelier de Joël Robuchon Bangkok  อะไรอร่อย , L'Atelier de Joël Robuchon Bangkok  เมนูแนะนำ ,  L'Atelier de Joël Robuchon Bangkok  recommended , ลัตเตอลิเย่ เดอ โจเอล โรบูชง พันทิป , ลัตเตอลิเย่ เดอ โจเอล โรบูชง พันทิบ , ลัตเตอลิเย่ เดอ โจเอล โรบูชง ที่จอดรถ , ลัตเตอลิเย่ เดอ โจเอล โรบูชง อะไรอร่อย , ลัตเตอลิเย่ เดอ โจเอล โรบูชง เมนูแนะนำ , ลัตเตอลิเย่ เดอ โจเอล โรบูชง recommened dishes





     สวสัดีค่ะเพื่อนๆ   คืนนี้เราจะขอพาเพื่อนๆไปทานดินเนอร์ในร้านอาหารในฝันของเราค่ะ  ทำไมเค้าถึงเป็นชายในฝันของเราน่ะเหรอค่ะ  คงต้องขอท้าวความไปถึงเมื่อห้าปีก่อนที่ตั้งใจว่าจะไปทานที่สาขาสิงคโปร์  แล้วก็ไม่ได้ไป  หลังจากนั้นไปฮ่องกงอีกสามรอบก็ยังไปไม่ถึงซะที  พอทราบว่าเค้ามาเปิดสาขาที่ไทยแล้วก็อยากจะไปใจจะขาด  แต่ก็ยังวนไปไม่ถึงซะที  จนคืนนี้แหละค่ะ  ไปค่ะไปทานดินเนอร์เป็นเพื่อนเราหน่อย
















      ขอย้อนไปถึงที่มาของความอยากมาลองร้านนี้ก่อนนะคะ  เป็นเพราะ  ชื่อเสียงของ เชฟ Joel Robuchon เจ้าของฉายา Chef of the Century  เพราะเป็นผู้ที่ครอบครองดาวมิชลินมากที่สุดในโลกจากหลายร้านอาหารทั่วโลก   มากถึง 28 ดวง (ในปี 2015) โดยปัจจุบันมีสาขาถึง 11 สาขา 
     สาขาที่กรุงเทพเป็น  สาขาที่ 9 ค่ะ   มี Executive Chef คือเชฟ Olivier Limousin ซึ่งเคยทำงานที่สาขาลอนดอนมาก่อน (สาขานั้นได้ดาวมิชลิน2 ดวงค่ะ)   ภายในร้านออกแบบตกแต่งโดย ปิแอร์-อีฟ โรชง ด้วยโทนสีดำและแดง  ที่จะคล้ายๆกันในทุกสาขา
    โดยโซนที่นั่งจะแบ่งเป็นสองส่วน  คือ The Counter 36 ที่นั่ง และ ที่นั่งโซนใน แบ่งย่อยเป็น  Le Terrace ที่นั่งเป็นโต๊ะส่วนตัวข้างใน ซึ่งเรามารู้ที่หลังว่า ต้องเสียเงินเพิ่ม 2000 บาท  ( แต่วันที่โทรจองกับพนักงานได้  สอบถามและเน้นย้ำว่าอยากได้โต๊ะที่ เหมาะสมสุด พนังงานแนะนำ เป็นไฮท์บาร์ให้โดยย้ำว่า จะจัดเตรียมที่ๆดีที่สุดไว้ให้) 
    และห้องส่วนตัว Crystal Room สำหรับลูกค้า 4-5 คน โดยต้องมีขั้นต่ำในการใช้จ่ายอยู่ที่ 20000 บาทสำหรับมื้อเที่ยง  และ 30000 บาทสำหรับมื้อเย็น และ Mahanakorn Room รองรับลูกค้าได้ 6 คน ต้องมีการใช้จ่ายอยู่ที่ขั้นต่ำ 30000 บาทสำหรับมื้อกลางวัน และ 45000 บาทสำหรับมื้อเย็น (เอาจริงนะตอนแรกว่าแพงมาก  แต่หลังจากไปทานมาเราคิดว่าถ้าสั่งปกติพร้อมไวน์ สำหรับหกคน  ถึงแน่นอนอะ )
















    คอนเซ็ปต์ของร้าน ลัตเตอลิเยร์ เดอ โชเอล โรบูชง เป็น Fine-dining ที่ไม่ยึดติดกับอาหารฝรั่งเศสในรูปแบบเดิม โดยเน้นที่คุณภาพและการนำเสนอในรูปแบบอาหารที่สามารถเลือกได้  และเน้นการมีปฎิสัมพันธ์ระหว่างเชฟและลูกค้า 
    ครัวที่นี่จึงเป็นแบบ Open Kitchen ที่ทำให้เราสามารถมองเห็นการทำงานของเชฟได้ (สำหรับเรา เราชอบมาก เป็นคนชอบดูการทำอาหารอยู่แล้ว ) โดยคำว่า Atelier เป็นภาษาฝรั่งเศส แปลว่า ห้องปฎิบัติการ 
    ที่นี่มี  Dress code นะคะ  เป็น Smart casual






venus:







เมนูที่นี่  มีตั้งแต่ Set Lunch 2 course 950 บาท (1 starter or Cheese or Dessert + 1 Main course) , 3 course 1450 บาท (1 starter + Cheese or Dessert + 1 Main course) , 4 course 1850 บาท (2 starter + Cheese or Dessert + 1 Main course)
                 A la Carte menu
                 Dinner Set 5 courses menu 5000 บาท , 7 courses menu  7500 บาท 















       โดยวันนี้เราเลือกสั่งแบบ A la Carte นะคะ  เพราะว่ามีเมนูในใจไว้แล้ว (แค่ในใจนะเยอะมากจนเครียดไม่รู้จะสั่งอะไรดีเลย  สุดท้ายเลือกสั่งวัถตุดิบที่ชอบสุดทั้งหมด )  หลังจากสั่งอาหารแล้วจะได้ Complimentary อย่างแรกเป็น
       Amuse bouche  เป็น คิวนัวทอดสอดไส้ foie gras ท็อปด้วยเครื่องเทศครีมออกรสเผ็ดๆ กับ มูส foie gras บนสุดเป็นฟองครีมจาก parmesan cheese ส่วนตรงกลางเป็น ไวน์ที่ทำให้แอลฮอล์จางไปแล้ว แต่ฐานเป็น มูส foie gras รสชาติกลมกล่อมเค็มนำหอมฟุ้งๆๆๆๆๆๆๆ 
     คำนี้เป็นซิกเนเจอร์ประจำร้านอาหารเลยค่ะ  มีทุกสาขาทั่วโลก เห็นคำเล็กๆแบบนี้ เชฟโอลิเวียร์ของเราให้ความสำคัญมาก  เพราะเห็นเชฟเป็นคนทำเองตลอดเลย















       
     ตามมาด้วย Complimentary อย่างที่ 2     ขนมปังที่แสนจะโด่งดังของที่นี่(คือมีแต่คนชมว่าอร่อย) Crusty Baguettes , Cheesy rolls ,Chocolate rolls ,  bacon and onion twists , buttery mini croissants   ซึ่งเมื่อได้ชิมแล้วขอบอกว่า คุณภาพคับตะกร้ามาก  อร่อยทุกอย่าง  คือ มีขนมปังครบทุกรูปแบบที่คนพอจะชอบ ทั้งนุ่ม กรอบ และแบบเหนียวๆ(เราชอบแบบนี้)








venus:









   starter เป็น Le King Crab  , King Crab and avocado roll on a delicate grapefruit jelly ตัวโรลเป็นอโวคาโดที่สไลด์เป็นแผ่นบางๆ  ความสุกในระดับพอดีนุ่มมันรสชาติดีมากค่ะ ตัว king crab ปรุงรสด้วยสมุนไพรสับ 














       จานนี้มีการประดับตกแต่งมาชนะเริ่ด    ความบางและเทคนิคการโรลอโวคาโด้ของที่นี่ก็ทำได้ดีมาก (เราเปลี่ยนเทียบจากที่เคยทานจานคล้ายๆกันมาก่อนที่สิงคโปร์  ร้านอาหารฝรั่งเศสนี่โรงแรมเซนต์รีจีส สิงคโปร์ค่ะ )  สร้างรสสัมผัสได้ละมุนมากๆ
    แต่พอเมื่อมาอยู่ด้วยกัน  เรารู้สึกว่าสมุนไพรและอโวคาโด้กลบรสปู  ตอนทานเราไม่รู้สึกถึงรสหวานที่ควรจะเป็นเอกลักษณ์ของเนื้อปูค่ะ  จานนี้เป็นจานที่ด้อยที่สุดสำหรับเราในค่ำคืนนี้  เราแอบคิดว่าอาจจะเพราะตัวปูที่ใช้  อาจจะเป็นปูที่นี่ หรือปูอิมเพอร์มารสหวานไม่ถึงเอง  จานนี้เป็นจานที่เค้าได้รับรางวัลมาก่อนซะด้วย











     starter จานที่สอง Le Fole Gras  Pan-fried duck foie gras  with grilled mandarin ,fresh mango and mongo puree
















      จานนี้ส่วนผสมดีงาม  ทานแล้วสดชื่นมาก  ส้มอร่อยมากมานิ่มเข้ากัน  ทอดมาแบบที่ชอบข้างนอกกรอบแห้งไม่อมน้ำมันและข้างในนุ่มมมมมยังไม่สุก 












   ถ้าเป็นนักกินตับห่าน (จริงๆตับเป็ด ) ตัวยงละก็  เห็นรูปแค่นี้ก็คงจะพอรู้แล้วว่ารสชาติจะเป็นอย่างไร  ตอนนี้ร้านนี้ไต่อันดับกลายเป็น  ร้านที่ทำจานนี้ได้เป็นอันดับหนึ่งในใจเราเลย (โฟร์ซีซั่นกรุงเทพตกอันดับแหละ )
  เห็นว่าตอนนี้เปลี่ยนส้มเป็นสัปปะรดย่างแล้วนะคะ  ที่นี่จะเปลี่ยนเมนูบางอย่างทุกๆ 2-3 เดือน  เพื่อใช้วัตถุดิบในฤดูกาลเพื่อคงรักษารสชาติให้ดีที่สุดอยู่เสมอ  เพราะอะไรที่ตรงฤดูรสชาติก็จะมาดีที่สุดของเค้าในรอบปีนั้น






venus:







    มาต่อกันที่ Main Course   Le HOMARD , Roasted lobster ginger scented carrot thin mousse   ล็อบสเตอร์ทำได้ดีมากกกกกกเนื้อสดหวานเด้งชุ่มช่ำ  รสชาติเอาจริงๆนะเหมือนปูผัดผงกะหรี่   แต่รสซับซ้อนกว่ามากกกกกก  เหมือนแกงข้นๆนุ่มๆรสนัวมากกกกชอบมากกกก เราได้แต่ทานไปชมไปเอาขนมปังปาดซอสไป  เราหลุดปากว่ามันไม่เหมือนอาหารฝรั่งเศสรสชาติเอเชียมากๆ  เชฟเลยบอกว่าใช้เครื่องเทศอินเดียผสมด้วย  เลยถึงบางอ้อ   
















      ร้านนี้เนี้ยออกแนวฟิวชั่นไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นส่วนผสมแบบฝรั่งเศสดั้งเดิมเท่านั้น  เรียกว่าอะไรดีอะไรเหมาะสมที่สุดเค้าจะหยิบมาใส่  นี่คงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ร้านอาหารของเชฟประสบความสำเร็จไปทั่วโลกเพราะ  เค้าไม่ยึดติด  ในขณะที่โลกหมุนเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกวัน  ลิ้นของคนรุ่นใหม่ย่อมแตกต่างกับคนรุ่นเก่าเสมอ

















     side dish  ทานกับจานล็อบเตอร์ค่ะ  mash potato  เป็นซิกเนเจอร์อีกจานของร้านนี้  เสียงลือเสียงเล่าอ้างจานนี้ก็ดังมากๆด้วย  เคลมว่า  จานนี้ใช้เวลาถึงสามชั่วโมง  และจะทำสดใหม่ทุกครั้งเวลาจะเสริฟ   
     จานนี้จะเสริฟมาคู่กับ main course ทุกจานค่ะ  มันบดมาเนียนมากกกกกกกกอร่อยมากกกกกกคือเนียนที่สุดเท่าที่เคยทานมา  ทั้งหอมทั้งมันทั้งหวานนุ่ม  ถ้วยนี้หมดถ้วยค่ะ 5555





venus:







      Complimentary อย่างที่สาม  จริงๆอยากจะลงเป็นวีดีโอซะจริงๆ  เพราะจานนี้  เชฟ Olivier Limousin และ คุณ Gianvito  ทั้งร้องและเต้นออกมาจากครัว  เดินมาเสริฟให้ตรงหน้าพร้อมเทซุปให้ค่ะ
      คุณ Gianvito  เป็นบริกรที่ร้าน  บริการคล้ายๆบัทเลอร์คอยดูแลอย่างใก้ลชิด  คุณเค้าบินตรงมาจากฝรั่งเศสเลยนะคะคนนี้  เค้าจะคอยให้ทั้งคำปรึกษา แนะนำในการเลือกอาหาร  ให้ความรู้ในอาหารแต่ละจาน คอยอยู่ใก้ลๆไม่ห่าง ชวนคุยเอ็นเตอร์เทนร์  ยิ่งเข้าคู่กับคุณเชฟ โอวิเวอร์น่ะ  สนุกมากจริงๆคู่นี้ แต่ในระดับที่ไม่ได้รบกวนความเป็นส่วนตัวของเรา  หรือไม่เราก็ชินคนเยอะๆละมั้ง 55555   ตอนแรกเราไม่ทราบว่าคนที่ให้บริการแบบนี้มีคนไทยด้วย เพราะคนดูแลเราเป็นฝรั่งเศส  เพิ่งมาอ่านรีวิวคนอื่นว่ามีคนไทยด้วยค่ะ  แต่ถ้ารีเควสได้แนะนำนั่งเคาน์เตอร์แล้วเจอคนนี้  ฟินมากกกกกสนุกมากกกกบริการประทับใจมากกกกกกกที่สุดในชีวิตอ่ะ
      ร่ายซะยาวแหะๆจานนี้เป็นราวิโอลี่ไส้ชีส  ตัวแป้งมาชนะเริ่ดทั้งบางทั้งเหนียวนุ่มกัดทีชีสทะลักปาก  เครื่องเคียงเป็นผักกลิ่นฉุนกับน้ำซุปคล่องคอดีค่ะ  จานนี้ก็ฟิน

















        Complimentary อย่างที่ 4 คงเพราะตอนโทรมาจอง  พนักงงานบอกไว้แล้วว่าจะหาที่นั่งที่ดีที่สุดให้  จึงส่งคุณ Gianvito  มา  แล้วก็ยังจะมีบริการพิเศษแบบนี้ให้ัอีก  น่ารักไหมล่ะคะ

















     main course จานสุดท้ายของเรา Wagyu beef steak  ส่วนที่เป็น ribeyes ค่ะ   สเต็กวากิวอร่อยมานุ่มมาดีแต่มันเยอะนะ  จริงๆคือชิ้นใหญ่ตัดแบ่งมาเป็นสองจานนะคะ  เสียอย่างเดียวซอสเยอะไปเลยเค็มตรงใบร็อตเก็ต  แต่ส่วนผสมนัวมากกชอบพริกหวานย่างรสชาติซับซ้อน I Love it !!!  เพื่อนเราถึงขนาดเรียกเชฟมาบอกว่า This is the best stesk  in my life เลยที่เดียว











   จานนี้เราสั่ง Medium ไปนะคะ  ความสุกได้อย่างใจสั่ง  ความสุขของการทานสเต็กเนื้อมันอยู่ตรงนี้แหละค่ะ  ได้สุกอย่างที่อยากทาน   เรื่องของสเต็กเอาจริงๆมันแล้วแต่คนชอบเนื้อ  เราเป็นคนไม่ชอบเนื้อเหนียวและกลิ่นสาปแรงๆ  จริงๆนอกจากเนื้อเกรดสเต็กแล้ว (ซึ่งปกติสั่งวากิวแทบทุกครั้ง) เราเองไม่ค่อยทานเนื้อ (ชอบหมูมากกว่า)
   หากใครเป็นคนชอบเนื้อเข้มๆแรงๆ  ก็อาจจะไม่ถูกใจจานนี้ก็เป็นได้  เวลาไปทานที่ไหนก็ถามพนักงงานให้แน่ใจจะดีที่สุดค่ะ








นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

Go to full version