หน้าแรก ช่วยเหลือ ค้นหา เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก
ยินดีต้อนรับ,บุคคลทั่วไป. กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ สมัครสมาชิก.
พฤษภาคม 03, 2024, 08:16:13 am
ข่าว: SMF - Just Installed!

ผู้เขียน หัวข้อ: Top 30 sci-fi + Fantasy + special effect movies หนังเทคนิค หนังไซไฟ หนังแฟนตาซี  (อ่าน 119375 ครั้ง)

Group: Global Moderator
Hero Member
*****

กระทู้: 1420
https://www.avelaclinique.com/
23.20,000 Leagues Under the Sea (1954)


มหากาพย์ขึ้นหิ้งของ Richard Fleischer ที่รังสรรค์การผจญภัยได้ทะเลที่สมจริง ในสมัยนั้น) ด้วย ทุนสร้าง 5 ล้านเหรียญ (ในยุคถือว่าสูงมากๆ )













โดยทึมสร้างส่วนใหญ่มาจากการสร้างเรือดำน้ำจำลอง และขนาดเท่าของจริง ออกมาเป็นหลายส่วนแยกกัน (ไอเดียที่เจมส์ คาเมรอนเอาไปสร้างเรือหลายขนาด หลายส่วนและเรือจริง ใน ไททานิก) ที่ชื่อ  Nautilus เพราะเจ้าเรือนี้เนี่ยผลาญงบบานตะไท ครึงนึงของค่าสร้าง



และอีกกว่า ครึ่งนำมาใช้สร้างการถ่ายทำในน้ำ แต่ไม่น่าเชื่อว่าราคาการสร้างเจ้าหมึกยักษ์กับใช้เงินเพียงน้อยนิดเพราะส่วนใหญ่ใช้การชักเหมือนหุ่นยางมากกว่า มีใช้กลไกแต่ไม่มากนัก ใช้แบบรีช็อต หรือประมาณสต็อปโมชั่นถ่ายนั่นล่ะครับ





ในสมัยก่อนมันก็มีเเค่เทคนิค สตอปโมชั่น (สมัยนั้เรียก รีช็อต) การซ้อนภาพง่ายๆ เท่านั้น แต่องค์ประกอบใหญ่ที่หนังได้รับคำชมเพราะมันนำภาพยนตร์เข้าสู่โลกใต้ทะเลที่เกินจินตนาการของคนทั่วไปได้สมจริงครับ เพราะเล่นไปถ่ายยาวที่ Bahamas ละ Jamaica กันเลย




"20.000 Leagues Under the Sea" (1954) Trailer

20,000 Leagues Under the Sea

20,000 Leagues Under the Sea Pt1 Disney: John Massari
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 29, 2020, 01:39:28 am โดย TEAW »


---------------------------
   

Group: Global Moderator
Hero Member
*****

กระทู้: 1420
https://www.avelaclinique.com/
24.Transformers 2007






Michael Bay สร้างตำนาน ของสงครามของสองฝั่ง ระหว่าง  Autobots และ Cybertron ออกมาได้ครบถ้วนและแอบเหนือกว่าในการ์ตูนซะอีก เพราะรายละเอียดนการ์ตูนของ Hasbro นั้นมีตัวละครค่อนข้างเยอะ และรายละเอียดไม่ได้มีมากนักในส่วนของ texture แต่พอสร้างเป็นหนังเเล้วแม้แต่รายละเอียกเล็กๆของรถอย่างตัวหนีบกระจกรถยังมีเลยครับ









ฉากการถ่ายส่วนใหญ่ใหญ่หุ่นหัวกำหนดความสูงของหุ่นแล้วถ่ายเปล่าๆบนฉากพื้นเเล้วใช้คอมพิวเตอร์แทรกภาพเข้ามาก (ในภาพคือเบื้องหลังการถ่ายทำของ Transformers: Age of Extinction 2014 ที่จะมี หนังตัวอย่าง ออกมาไม่นาน)





แน่นอนต้องขอขอบคุณ  computer-generated imagery หรือ CGI ที่ สตีเว่น สปีลเบิร์ก ไฟเขียวให้เบย์ อัดไม่จำกัดและกล้าให้เบย์ สร้างจินตนาการที่ต้องการแล้วไปตกลงกับ ILM ที่ทำเอฟเฟกซ์ว่าต้องการแบบใด





เพราะแค่ปืนของไออนไฮด์ หุ่นนักรบของออโต้บอร์ตก็ประกอบด้วยการสร้างส่วนประกอบกว่า 1000 ชิ้น หน้าของบัมเบิ้ลบีก็เคลื่อนไหวแตกต่างกันกว่า 700 จุด







และแน่นอนต้องขอบคุณ คอมพิวเตอร์ ยุคใหม่ๆที่จะบอกว่าใช้เป็นพันเครื่องเลยในการสร้างภาพขึ้นมา ในบันทึกการสร้างของ ILM แจ้งว่า 1เฟรมในการเรนเดอร์หนัง นั้นใช้เวลาถึง 38 ชั่วโมงครับ.....บร๊ะเจ้าาาาาาา




Transformers (2007) Trailer HD

"Transformers"-New-July 2007-behind scenes 20- min
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 26, 2020, 04:51:28 pm โดย TEAW »


---------------------------
   

Group: Global Moderator
Hero Member
*****

กระทู้: 1420
https://www.avelaclinique.com/
25. Lord of the Rings 2001 - 2003 และ the Hobbit




อ่านเพิ่มเติมได้ใน
https://www.route035.com/webboard/index.php?topic=184.0
หัวข้อ: The Hobbit กับ 12 ปี ของ Peter Jackson กับ Lord of the rings






Lord of the Rings ในปี 2001 ยัน The Hobbit: An Unexpected Journey ในปี 2012 จนมา The Hobbit: The Desolation of Smaug ในปี 2013 จนที่จะมาถึงคือ The Hobbit: There and Back Again ในปี 2014 นั้น ปีเตอร์ แจ็กสัน ล้วนแต่ได้สร้างบรรทัดฐานด้านเอฟเฟค์ซ์ใหม่ๆ รวมถึงเอาของเก่ามาแก้ไขใหม่ได้อย่างหมดจด





ไม่ว่าจะเทคนิค  motion capture computer ที่นำมาจากหนัง The Polar Express 3D ในปี 2004 ที่แปลงภาพจากคนมาเป็นภาพการ์ตูนหรือภาพซีจี    มาสร้างกอลลั่ม และมังกรสม็อก ที่ได้ดารานักแสดงอย่าง แอนดี้ เซคิสมาร่วม



Andy Serkis นักแสดงวัย 48 ที่แสดงในหนังเล็กๆและ short film  กลายเป็นนักแสดงคู่บุญอีกคนในบท ที่ไม่เห็นหน้าเลย





เพราะต้องสวมชุดทีใช้สร้างตัวละครอย่าง Gollum , King Kong , The Adventures of Tintin ในบท กัปตันแฮดด็อก 



นอกจากนี้ยังแตกไปถึงหนังอื่นๆที่ใช้ CGI อย่างCaesar ใน Rise of the Planet of the Apes



หรือเทคนิคการเปลี่ยนเสกลความสูง เช่น ตัวละครอย่าง Elijah Wood ที่สูง 5 ft 6 in (1.68 m)แต่ในหนังที่แสดงเป้น Frodo Baggins สูงเพียง 3 ft 6 in (1.07 m) โดยใช้วิธี ถ่ายสองฉากมาซ้อนภาพต่อกัน ที่เราเรียกว่า Forced perspective นั่นก็เหมือนกับเทคนิคเดียวกับ Hagrid ใน Harry Potter ที่ตัวใหญ่นั่นล่ะครับ



และแน่นอน เดอะฮอบบิทภาคใหม่นอกจากใช้เทคนิคเดิมแล้วยังใช้ frame rate 48 เฟรมต่อวินทีเรื่องเเรกของโลก (ปกติ 24) ซึ่งทำให้ภาพ "โคตร" คมชัด สุดยอด บางที่อาจดูเหมือนภาพมันหลอกๆ แต่ถ้าเรามาดูในทีวี HD มันชัดมากๆและจะเป็นมาตรฐาน  ของหนังในอนาคตอย่าง AVATAR 2 ที่น่าจะนำมาใช้ครับ





นอกจากนี้ยังไม่รวมถึงพวกเอฟเฟคซ์เล็ก เอฟเฟคซ์น้อยอีกมากมายครับ 




ต้องขอบคุณปีเตอร์ แจ็กสัน ที่แจ็กสันเองก็ยืนยันการประหยัดงบทั้งไม่จ้างบริษัท CGI ระบบอาชีพอย่าง ILM แต่ยังกลับไปใช้บริการของ Weta Workshop และ Jim Rygiel แทน  ผลคือการจ้างบริษัท (ของเพื่อน) นอกจากจะประหยัดงบได้เยอะยังได้งานดีมากๆมาด้วย ทำให้เวต้าได้เกิดในเวทีโลกดิจิตอลมีงานเข้ามามากมายเลยล่ะครับ






Andy Serkis as Gollum - WETA at GDC 8

The Hobbit Official Trailer #1 - Lord of the Rings Movie (2012) HD

Making Of "The Hobbit: An Unexpected Journey" Full | All of Production Blogs 1-9


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 26, 2020, 04:52:00 pm โดย TEAW »


---------------------------
   

Group: Global Moderator
Hero Member
*****

กระทู้: 1420
https://www.avelaclinique.com/
26. The Day the Earth Stood Still (1951)




งานของ Robert Wise ในปี 1951 ก่อนจะมาทำใหม่ในปี 2008 โดย    Scott Derrickson ที่นำเสนอ มนุษย์ต่างดาว Klaatu ที่กำบังจะล้างโลกโดย Gort (Genetically Organized Robotic Technology)




Gort ในปี 2008 นั้น ใช้ CGI สร้าง Gort สูง 28 ฟุตขึ้นมาได้น่าดูชมระดับหนึ่ง แต่งานในปี 1951 นั้นเทคโนโลยีมันไม่มีอะไรเลยเลยต้องใช้ นักแสดงใส่ชุดหุ่นเหล็ก ที่ชื่อ Joseph Lockard Martin,Jr ซึ่งสูงกว่า 231 เวนติเมตรมาสวมใส่ชุด Gort
 


แล้วใช้ลิฟต์ยกระดับให้สูง เลื่อนฉากมาด้านหน้าให้หลอกตา คล้ายแบบ LOTR อย่างนั้นล่ะครับ นอกนั้นใช้เทคนิคเเสงมุมสูงช่วยอีกที



ส่วยยานอวกาศใช้แผ่นไม้พ่นสีเงินแล้วใช้เเสงสะท้อนช่วยเช่นกัน แต่สิ่งที่เด่นมากในยุคนั้นคือเลเซอร์ครับ เลเซอร์ที่เกิดจากตาของ GORT ใช้ตัดต่อแสงลงไปเหมือนเมโทรโพลิส







ในยุคนั้นผมว่าคนอเมริกันและคนทั่วโลกยังไม่ค่อยได้ดู เมโทรโพลิสเท่าใดนัก แต่พอมาที่ The Day the Earth Stood Still นั้นถือเป็นความแปลกใหม่กันเลยทีเดียว เพราะถือเป็นการเปิดโลกของยักษ์หุ่นยนตร์ แสงเลเซอร์จากตา และชุดสูท แบบ unibody ที่จินตนาการได้ล้ำมากในสมัยนั้น









นี่คือหนึ่งในงานหนัง sci fi ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนังไซไฟที่เยี่ยมที่สุดที่เปิดโลกจินตนาการใหม่ๆ และเคยออกอากาศในทางวิทยุในปี 1954 คนที่ไม่เคยดูหนังยังหลงเชื่อเลยว่มียานอวกาศมาลงที่เซ็นทรัลพาร์คจริงๆ แถมด้วยคำสั่งก็อตที่เด็กๆยุคนั้นสั่งติดปากให้ ก็อต ปล่อยเปิดแฟลสลำแสง "GORT KLAATU BARADA NIKTO" ...


Day the Earth Stood Still Trailer


GORT "The Day The Earth Stood Still" 1951

Backmasking- 1951 The Day The Earth Stood Still

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 26, 2020, 04:57:14 pm โดย TEAW »


---------------------------
   

Group: Global Moderator
Hero Member
*****

กระทู้: 1420
https://www.avelaclinique.com/
27. Ghostbusters (1984)



Ivan Reitman ผู้กำกับ รวมถึงดารานำแสดงอย่าง    Bill Murray Dan Aykroyd และ Sigourney Weaver ทำหนังที่อยู่ในเครดิตของเขาที่น่าจะถือเป็นบทนำที่ทำเงินมากที่สุดในโลกจากหนังปี 1984 ที่เล่าเกี่ยวกับบริษัทกำจัดผี



ตัวหนังไม่ได้แค่สนุกแต่มีฉากเอฟเฟ็กซ์ที่ยอดเยี่ยมเเละเป็นที่น่าจดจำมากมาย ทั้งปืนแสงไฟฟ้า ที่เก็บผี , เจ้าผีตะกละเรืองแสง และแน่นอน เจ้า มาสเมโร่ยักษ์ < marshmallow > ที่ชื่อว่า Stay Puft Marshmallow Man  ที่สูง 112.5ฟุต






พวกเอฟเฟกซ์แสง สี ในปีนั้นเริ่มมีการนำมาใช้กันมากอยู่แล้วครับโดยการทำหุ่นหรือให้คนใส่ชุดหุ่นผีขึ้นมาแล้วใส่เเสงไปเยอะๆไปคอนเวิร์ดภาพให้แตกเกิดเป็นภาพเรืองแสงขึ้นมา








ทุกอย่างล้วนเกิดจากฝีมือของ Richard Edlund โปรดิวเซอร์ด้านภาพพิเศษ แม้ในปีนั้นจะไม่ได้รางวัลเพราะไปชนกับตอที่ชื่อ  Indiana Jones and the Temple of Doom แต่ภาพงานแสงที่มันเรืองแสงสดใสรวมถึงเจ้าตัว Stay Puft Marshmallow Man ยักษ์ที่สร้างโดยการจำลองภาพสร้างฉากเมืองจำลองมาซ้อนภาพ ย่อมอยู่ในใจนักดูหนังทุกคนครับ





1984: Ghostbusters Trailer HQ


Mr. Stay Puft Marshmellow Man: Ghostbusters (1984) Movie Clip 2/2

Ghostbusters (1984) interviews with the crew

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 26, 2020, 05:05:35 pm โดย TEAW »


---------------------------
   

Group: Global Moderator
Hero Member
*****

กระทู้: 1420
https://www.avelaclinique.com/
28. the fifth element (Le Cinquième Élément) 1997





งานของ ลุค เบซองเรื่องนี้มันไม่ได้โดดเด่นแค่เอฟเฟคซ์ระดับสุดเนียน ความสนุก เเอ็กชั่นปนตลกและการเเย่งซีนระดับเทพของดารานักแสดงไม่เว้นแม้เเต่ตัวร้ายที่มันตลกแบบตลกร้าย









แต่งานที่โดดเด่นในภาพยนตร์เรื่องนี้คือ Costume ครับ ใช่ นี่มันงานออกแบบ ทรงผม เครื่องแต่งกาย ชุดประกอบ ตัวละครแบบระดับ "พระเจ้า" มาเกิด ของ  Jean-Paul Gaultier ซึงปกติเป็น แฟชั่นดีไซด์ และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างมากที่หนังไม่ได้เข้าชิงในสาขานี้ในรางวัลออสการ์








แต่ถึงไม่ได้รางวัลหรือแม้แต่เข้าชิงทั้งสาขาออกแบบคอสตูมกับเอฟเฟกซ์ (ได้สาขาเสียง) แต่สิ่งที่คนดูหนังและรักหนังไซไฟจำได้เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้คืองานคอสตูมระดับพระเจ้าที่ล้ำอนาคตไปไกล










(ใครๆก็เลียนแบบชุดสายเดียวของนางเอก ทรงผมของ Jean-Baptiste Emanuel Zorg , Ruby Rhod และแอร์โฮสเตสอวกาศในหนัง อ้อ เจ้าแทกซี่สุดสวยกับเจ้าปืนเท่ห์ในหนังนั่นด้วยครับผม







The Fifth Element - Trailer [HD]

The Making Of The Fifth Element Movie Part I

The Fifth Element - Making Of




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 26, 2020, 06:40:22 pm โดย TEAW »


---------------------------
   

Group: Global Moderator
Hero Member
*****

กระทู้: 1420
https://www.avelaclinique.com/
29. Terminator 2: Judgment Day (1991)



จริงๆชื่อมันไม่ได้ชื่อเนียนๆแบบนี้เพราะชื่อเดิมจริง พี่คาเมรอนแกกะตั้งว่า  T2  Battle Across Time (ซึ่งเอาชื่อมาทำ 3D ในภายหลัง) แกมีภาค ultimated ที่เป็น 3d ด้วยนะครับแต่มีเเค่เลเซอรืดิสก์ในสมัยนั้น








หนังเรื่องนี้แค่ครั้งเเรกเห็นในโรงที่เป้นหนังตัวอย่างของ สหมงคล(มั้ง) ที่โรงหนังในมาบุญครอง นี่เเทบอ้าปากค้าง นึกในใจว่าทำได้ไงวะเนี่ย นี่คือหนังต่อยอดที่คาเมรอนนำเทคนิคจาก abyss มาปรับใช้พร้อมเน้นฉากเเอ็กชั่นที่เอาใจคนทุกรุ่น(ไม่รุ่นใหญ่เพียวๆแบบ The Abyss (1989) )







อีกเช่นกันคาเมรรอนโชว์ไอเดีย การเขียนบทระดับเทพ ที่อีกเเล้วว่าต้องอุทานว่า "คิดได้ไงวะ" เอาตัวผู้ร้ายมาทำตัวเอก ในส่วนฉากเเอ็กชั่นและเทคนิคใหม่ๆไม่ต้องพูดถึง แค่เจ้า T1000 ที่เป็น CG ระดับเทพ






การเคลื่อนไหวของหุ่นที่ต่อเนื่อง นี่ก็สุดๆแล้ว และเพราะคงเคยผ่านตามากันหมดแล้ว แต่จุดที่ไม่ควรมองข้ามในหนังของคาเมรอนคือหนังมีที่มาที่ไปสั้นๆเสมอและตัวหนังไหลลื่นไม่มีสะดุด ดูได้ต่อเนื่อง เเละตอนจบที่ต้องอึ้งเสมอไสตล์แก







ย้อนกลับมาที่ computer-generated imagery (CGI) หนังได้ต่อยอดมาจากเอฟเฟคซ์น้ำใน The Abyss ในการสร้าง  T-1000ที่ชื่อว่า  "mimetic poly-alloy" หรือโลหะเหลว ซึ่งแน่นอกก็ใช้บริการเจ้าเดิมที่เคยทำจากหนังอะบีส คือ Industrial Light & Magic (ILM) และ Stan Winston 






สมัยนั้นใช้แค่การเคลื่อนไหวเพียง 25 ข้อต่อเท่านั้น (ยุคปัจจุบันแค่หน้าก็ล่อไปพันเเล้ว) แต่เเค่นั้นสมัยนั้นก็อ้าปากกันค้างแล้วครับ ส่งผลให้ ได้รางวัล 1992 Academy Award for Best Visual Effects ในปีนั้นไปและนี่คือต้นแบบหนังเอฟเฟกซ์อีกเรื่องที่กลายเป็นแบบเรียนในหนังสือและโปรแกรมสำหรับนักศึกษาในปัจจุบัน




Terminator 2: Judgment Day - Official Trailer [1991]

TERMINATOR 2 Behind-the-Scenes T-800 FX

[Terminator 2: Judgment Day] [1991] [Making Of] [1991] [2/3]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 16, 2014, 11:45:18 pm โดย TEAW »


---------------------------
   

Group: Global Moderator
Hero Member
*****

กระทู้: 1420
https://www.avelaclinique.com/
30. E.T. the Extra-Terrestrial 1982



อี.ที. เพื่อนรัก หนังที่ต่อยอดความสำเร็จให้สปิลเบิร์กได้ฉายาว่า พ่อมดแห่งฮอลลีวู๊ด จินตนาการความเป็นเด็ก มุมมองภาพ และการนำเสนอหนังของสปิลเบิร์ก นับจาก  Jaws (1975)  Close Encounters of the Third Kind (1977) 1941 (1979) Raiders of the Lost Ark (1981)  จะเห็นว่าหนังมันแทบจะต่างกันไปทุกแนวเลย นี่ไม่นับรวมพวก The Color Purple (1985)   Jurassic Park (1993)  Schindler's List (1993)   Amistad (1997)  · Saving Private Ryan (1998) Minority Report (2002)  Catch Me if You Can (2002)
War of the Worlds (2005)  Munich (2005)  ที่เขาแบบว่าทำได้ทุกแนวเลย และแต่ละแนวก็มีเเนวคิดใหม่ๆมาเสมอ




ความโชคดีของสปิลเบิร์กคือการมีเพื่อนอย่าง จอร์จ ลูคัส และเพื่อนร่วมวงการอีกมากมาย (อย่างตอนตั้ง dreamwork skg สตูดิโอที่เอาเพื่อนมาก่อตั้งทำหนังดังๆอย่าง shrek ) ทำให้เวลาเขาหยิบจับอะไรหรือทอะไรเป็นง่ายไปหมดเลย เเถมยังเป็นผู้กำกับแบบว่า ไม่ล้างผลาญงบเเบบ ไมเคิล เบย์ หรือ เจมส์ คาเมรอน แต่สามารถสร้างหนังเป็นปรากฏการณ์ได้สบายๆครับ




ย้อนกลับมาที่ อีที ตัวหนังเเสดงความเป็นเด็ก มุมมองมนุษย์ต่างดาวที่ดูอ่อนแอ เจ็บป่วยเป็น เเละมีความเป็นเพื่อนมากกว่าศัตรู หนังให้ความเป็นมิตรกับเด็ก รวมถึงความฝัน ผมว่าถ้าตอนเด็กใครเคยผ่านตาตอนอีทีเอาจักรยานเอลเลียตและของเพื่อนๆบินต้องยิ้มร้อมหัวใจพองโตว่าอยากเป็นแบบนั้นบ้าง





และเอฟเฟ็กซ์ จักรยานบินผ่านดวงจันทร์ก็กลายเป็นสัญญลักษณ์ของสตูดิโอ เอ็มบริน Amblin Entertainment  ของสบิลเบิร์กไปโดยปริยายครับ





การทำฉากภาพไม่ได้ยากหรือง่ายเพราะใช้ฉากจำลอง สลิง โมเดล หุ่นยนต์ชักรอก รวมถึงการตัดต่อซ้อนภาพ เข้ามาผสมกันก็ได้ฉากเเห่งจินตนาการไปใช้ แต่สิ่งสำคัญคือจินตนาการที่มันมอบไว้ให้นักดูหนังและนักฝันหลายๆคน อีกอย่างคือสปิลเบิร์กมักมีคนรอบข้างเก่งอย่างในอีทีเนี่ยมี Carlo Rambaldi คนๆนี้แหละที่ออกแบบคิงคองมาก่อน รวมถึงเจ้าตัวอีทีในเรื่อง นอกจากนี้้้ยังมีงานตามมาอย่าง เอเลี่ยนภาคแรก คอยช่วยงานด้านเอฟเฟคซ์





หรือแม้เเต่ฉากยานอวกาศที่ใช้โมเดลง่ายๆเเต่งานเเสงก็อิงมาจาก Close Encounters of the Third Kind (1977) ซึ่งไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมาย อีกอย่างของสปิลเบิร์กคือแกชอบปั้นนักเเสดงมากกว่าจะใช้นักแสดงดัง ๆ (มีหลังๆที่ใช้ ทอม เเฮงก์กับ ทอม ครู๊ส ) นี่คือพ่อมดตัวจริง ไม่เชื่อลองไปเหล่ๆดูงบหนังแกสิ ใช้น้อยมากๆเมื่อเทียบกับงานและผู้กำกับคนอื่นๆครับ


ET The Extra Terrestrial Trailer HD

Ride in the Sky - E.T.: The Extra-Terrestrial (9/10) Movie CLIP (1982) HD

The Making Of ET The Extra Terrestrial (1/10),good

E.T The Extra Terrestrial ( filming location video ) Steven Spielberg movie


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 26, 2020, 07:02:51 pm โดย TEAW »


---------------------------
   

Group: Global Moderator
Hero Member
*****

กระทู้: 1420
https://www.avelaclinique.com/
30+1 Pan’s Labyrinth 2006




Guillermo del Toro ตอกย้ำความเป็นอาร์ตตัวพ่อที่มีจินตนาการคล้าย ทิม เบอร์ตั้น แต่สดใสมากกว่า เราเริ่มเห็นจินตนาการของแกแรกๆที่เด่นชัดคือ Mimic ตามด้วยการนำการ์ตูนที่ชื่นชอบมาออกแบบ อย่าง Hellboy แต่ที่สุดแห่งจินตนาการคือ El Laberinto del Fauno หรือ Pan's Labyrinth นี่ล่ะครับ






เอฟเฟ็กซ์ + จินตาการถึงเมืองแฟนตาตีแบบดาร์คๆ เข้าขั้น แฟนตาซีโหดที่เด็กไม่ควรดู เพราะมันไม่ได้มีเนื้อเรื่องที่สวยงามเหมือนกับพวกหนังแฟนตาซีที่เขาชอบกระทำกัน แต่นี่คือเเฟนตาซีแบบผู้ใหญ๋ ที่ไม่ใช่หนัง เอวี ก็เท่านั้นเอง





จะเห็นว่าการออกแบบตัวละครมีแนวทางของแกชัดเจน เหมือนทิมเบอร์ตั้นที่มีลายเส้นเป็นของตนเองอย่างงั้นล่ะครับ ไม่เชื่อลองดูใน Splice หนังในการถัดมาที่เเกเป็นโปรดิวเซอร์ให้ ก็มีลายเส้นของเเกชัดเจน มีจะเเปลกเเหวกก็ Pacific Rim เท่านั้น เเละน่าเสียดายที่เเกถอนตัวจากการกำกับ the hobbit ซะเนี่ย ไม่งั้นอาจดูเเฟนตาซีโหดๆกับเขาก็ได้นะครับ



ย้อนกลับมาที่ตัวหนัง เนี่ยเขาจัดดเป็นหนังแบบ  dark fantasy horror film  อาจเพราะตัวละครเเต่ละตัวและฉากการทรมานที่ดูแล้วข่มขืนจิตใจ เหมือนหนังวิพากษ์ด่าการเมืองโดยนัย เนื้อเรื่องเล่าถึงโลกลึกลับใต้ดินแบบเเฟนตาซีมีเด็กน้อยในโลกปัจจุบันไปค้นพบแบบหนังเเฟนตาซีทั่วไป แต่การดำเนินเรื่องหรือตอนจบที่กระชากใจนี่จัดเป็นหนังใต้ดินมืดๆด้วยซ้ำไป





งาน CGI มีได้ประปรายแบบการใช้ บลูสกรีนหรือ กรีนสกรีนทั่วๆไป แต่งานสำคัญคือการออกแบบตัวละคร จินตานากรตัวละคร การเมกอัพ การใช้หุ่นเคลื่อนไหวได้โดยใช้กลไกที่ชื่อว่า Animatronics ที่ดึงเอาจินตนาการหนังเก่าๆอย่าง The Maze ในปี 1953 มาอ้างอิง หรือที่นึกภาพได้ก็เจ้าปลาหมึกจาก ใต้ทะเล 2 หมื่นโยชน์นั่นล่ะครับ... หนังเรื่องนี้มันดีที่จินตนาการล้วนๆ เป็นแฟนตาซีที่ฉีกแนวหนังแฟนตาซีแบบเก่าซะขาดวิ่นไปเลยครับ










Pan's Labyrinth full length trailer

Pan's Labyrinth - Makeup and Special Effects

Exclusive Pan's Labyrinth Interview

Pan's Creatures
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 26, 2020, 07:10:05 pm โดย TEAW »


---------------------------
   

Group: Global Moderator
Hero Member
*****

กระทู้: 1420
https://www.avelaclinique.com/
30+2 The Wizard of Oz 1939



สิ่งที่ผมภูมิใจอันหนึ่งคือการมีของเล่นที่หายากจากหนังที่ตัวเองชอบ เเน่นอนThe Wizard of Oz ในปี 1939 ผมก็มีครับ





อย่างของเล่นที่ผมเขียนใน
https://www.route035.com/webboard/index.php?topic=174.0
 50 ของเล่น ของสะสมจากหนัง ภาพยนตร์ การ์ตูน (หายาก-ไม่ยาก) ที่น่าสะสม my toy collection





หนัง The Wizard of Oz ของปี 1939 นั้นได้ชื่อว่าเป็น ราชาเเห่งหนังแฟนตาซีทั้งมวล เพราะนำเสนอาพจากเทพนิยายที่ตระการตา เรื่องราวการผจญภัยของ หนูน้อย Dorothy ในโลกแห่งแฟนตาซี





การนำเสนอภาพเมืองเเเห่งออส Emerald City การสร้างหุ่นกระป๋อง การตกแต่งเมกอัพหุ่นไล่กา เเละสิงโตที่ตระการตาเหมือนในจินตนาการที่วาดไว้ ทำให้ผลาญงบในสมัยนั้นไปกว่า 3 ล้านเหรียญ ตกเป้นเงินปัจจุบันน่าเฉียดๆ 80 ล้านเหรียญเลยทีเดียวซึ่งสูงมากๆในยุคนั้นเเล้ว คือเล่นเอา MGM สตูดิโอนี่สร้างไปปาดเหงื่อไป



พูดง่ายๆคือหนังเรื่องนี้คือ ราชาต้นฉบับจินตนาการโลกแฟนตาซีที่ดีที่สุดเท่าที่หนังเคยมีมา ผมว่ามันดูดีกว่างาน ซีจีอีกนะ เพราะมันดูเเล้วสัมผัสจินตนาการได้ดีกว่าครับ




The Wizard of Oz (1939) - Trailer


Wizard of Oz - Behind The Scenes
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 26, 2020, 07:18:50 pm โดย TEAW »


---------------------------
   


 

Theme © PopularFX | Based on PFX Ideas! | Scripts from iScript4u พฤษภาคม 03, 2024, 08:16:13 am