91
Beauty World / Re: โบท็อกกรามใหญ่
« กระทู้ล่าสุด โดย NOODLE M.D. เมื่อ ธันวาคม 08, 2020, 03:35:51 pm »๔.โบท็อก คือ อะไร
โบท็อกเป็นชื่อทางการค้า ชื่อจริงคือ โบทูลินั่ม ทอกซิน Botulinum มาจากคำว่า Botulism ซึ่งก็มาจากภาษาลาตินจากคำว่า Botulus แปลว่า ไส้กรอก Neurotoxin ก็คือพิษต่อระบบประสาท คำรวมๆคือมาจาก สารพิษจากไส้กรอกที่มีผลต่อระบบประสาท
จากการค้นพบในช่วงปี 1897 โดย เอมิลแวน เอเมอเวงเจน คาบเกี่ยวกับบันทึกของ จัสตินัส เคอร์เนอร์ นักบันทึกการแพทย์ชาวเยอรมันที่บันทึกถึงพิษจากไส้กรอกที่เสีย ซึ่งเอมิลแวน
ได้พิสูจน์ว่ามันคือพิษตัวเดียวกันที่สร้างมาจากแบคทีเรียกลุ่ม เชื้อ gram positive anaerobic bacteria (เชื้อแบคทีเรียกลุ่มแกรมบวก) ที่ชื่อ Clostridium botulinum
ต่อมามีการสกัดสารนี้และพบว่าหน้าที่ของมันคือการยับยั้งการสื่อสารของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ แล้วมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อนำมาใช้งานในด้านต่างๆ ไม่เว้นแต่ทางทหาร ซึ่งเคยมีรายงานการนำเอาพิษของ BoNT มาใช้ในสงครามโลกครั้งที่สอง
และมีการทดลองทางทหาร จัดเป็นอาวุธเคมีชีวะภาพชนิดหนึ่ง
ในด้านการแพทย์จากการที่พบว่า BoNT สามารถยับยั้งการหลั่งสารสื่อประสาทอย่างเฉพาะเจาะจงที่บริเวณ neuromuscular junction (NMJ หรือรอยต่อระหว่างเส้นประสาทกับกล้ามเนื้อ) ทำให้กล้ามเนื้อไม่ได้รับการกระตุ้นจากระบบประสาท
กล้ามเนื้อจึงทำงานได้น้อยลงหรือทำงานไม่ได้เลยชั่วคราว รวมถึงทำให้ตาพร่า และปากแห้ง ตามระยะเวลาการทำงานของ BoNT ต่อมาในช่วงปี 1970-80 อลัน สก็อตต์ นำสารสกัดบริสุทธิ์ของ BoNT มาใช้ทดลองรักษาโรคทางตา ที่ชื่อว่า strabismus และ Blepharospasm
โดยอาศัยหลักการการทำให้กล้ามเนื้อเฉพาะจุดทำงานน้อยลงและลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ ต่อมามีการจัดจำแนกสารพิษนี้เป็น เจ็ดแบบคือ A-G โดยที่ A B และ E เป็นตัวหลักที่ทำเกิดพิษในมนุษย์ ส่วน C กับ D เป็นตัวหลักที่ก่อพิษในสัตว์
ในช่วงรอยต่อปี 1980-1990 โบท็อกซ์ได้ถูกพัฒนามาใช้ลดริ้วรอยเฉพาะตำแหน่งและมีการจดทะเบียนยาผ่าน FDA ของอเมริกาโดยบริษัท Allergan (จดในการนำมาใช้รักษา strabismus และ Blepharospasm)
ต่อมาจึงนำมาพัฒนารักษาด้านความสวยงามอย่างมากมายจนในปัจจุบัน โดยหลักการคือการทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงและมีการลดการทำงานลงนำมาซึ่งการลดริ้วรอยในส่วนต่างๆของใบหน้าเช่น รอยตีนกา รอยเหี่ยวย่นที่หน้าผาก รอบปาก ใต้ตา ระหว่างตา รอยย่นที่คอ
หรือแม้แต่ยกคิ้ว ลดเหงื่อหรือลดกลิ่นที่มือ เท้า และรักแร้ รวมไปถึงลดขนาดกล้ามเนื้อใหญ่ๆ เช่น ลดขนาดกราม ลดขนาดน่องที่โต (ที่คนญี่ปุ่นชอบเรียกว่า น่องหัวใช้เท้า radish like-leg)
โบท็อกเป็นชื่อทางการค้า ชื่อจริงคือ โบทูลินั่ม ทอกซิน Botulinum มาจากคำว่า Botulism ซึ่งก็มาจากภาษาลาตินจากคำว่า Botulus แปลว่า ไส้กรอก Neurotoxin ก็คือพิษต่อระบบประสาท คำรวมๆคือมาจาก สารพิษจากไส้กรอกที่มีผลต่อระบบประสาท
จากการค้นพบในช่วงปี 1897 โดย เอมิลแวน เอเมอเวงเจน คาบเกี่ยวกับบันทึกของ จัสตินัส เคอร์เนอร์ นักบันทึกการแพทย์ชาวเยอรมันที่บันทึกถึงพิษจากไส้กรอกที่เสีย ซึ่งเอมิลแวน
ได้พิสูจน์ว่ามันคือพิษตัวเดียวกันที่สร้างมาจากแบคทีเรียกลุ่ม เชื้อ gram positive anaerobic bacteria (เชื้อแบคทีเรียกลุ่มแกรมบวก) ที่ชื่อ Clostridium botulinum
ต่อมามีการสกัดสารนี้และพบว่าหน้าที่ของมันคือการยับยั้งการสื่อสารของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ แล้วมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อนำมาใช้งานในด้านต่างๆ ไม่เว้นแต่ทางทหาร ซึ่งเคยมีรายงานการนำเอาพิษของ BoNT มาใช้ในสงครามโลกครั้งที่สอง
และมีการทดลองทางทหาร จัดเป็นอาวุธเคมีชีวะภาพชนิดหนึ่ง
ในด้านการแพทย์จากการที่พบว่า BoNT สามารถยับยั้งการหลั่งสารสื่อประสาทอย่างเฉพาะเจาะจงที่บริเวณ neuromuscular junction (NMJ หรือรอยต่อระหว่างเส้นประสาทกับกล้ามเนื้อ) ทำให้กล้ามเนื้อไม่ได้รับการกระตุ้นจากระบบประสาท
กล้ามเนื้อจึงทำงานได้น้อยลงหรือทำงานไม่ได้เลยชั่วคราว รวมถึงทำให้ตาพร่า และปากแห้ง ตามระยะเวลาการทำงานของ BoNT ต่อมาในช่วงปี 1970-80 อลัน สก็อตต์ นำสารสกัดบริสุทธิ์ของ BoNT มาใช้ทดลองรักษาโรคทางตา ที่ชื่อว่า strabismus และ Blepharospasm
โดยอาศัยหลักการการทำให้กล้ามเนื้อเฉพาะจุดทำงานน้อยลงและลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ ต่อมามีการจัดจำแนกสารพิษนี้เป็น เจ็ดแบบคือ A-G โดยที่ A B และ E เป็นตัวหลักที่ทำเกิดพิษในมนุษย์ ส่วน C กับ D เป็นตัวหลักที่ก่อพิษในสัตว์
ในช่วงรอยต่อปี 1980-1990 โบท็อกซ์ได้ถูกพัฒนามาใช้ลดริ้วรอยเฉพาะตำแหน่งและมีการจดทะเบียนยาผ่าน FDA ของอเมริกาโดยบริษัท Allergan (จดในการนำมาใช้รักษา strabismus และ Blepharospasm)
ต่อมาจึงนำมาพัฒนารักษาด้านความสวยงามอย่างมากมายจนในปัจจุบัน โดยหลักการคือการทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงและมีการลดการทำงานลงนำมาซึ่งการลดริ้วรอยในส่วนต่างๆของใบหน้าเช่น รอยตีนกา รอยเหี่ยวย่นที่หน้าผาก รอบปาก ใต้ตา ระหว่างตา รอยย่นที่คอ
หรือแม้แต่ยกคิ้ว ลดเหงื่อหรือลดกลิ่นที่มือ เท้า และรักแร้ รวมไปถึงลดขนาดกล้ามเนื้อใหญ่ๆ เช่น ลดขนาดกราม ลดขนาดน่องที่โต (ที่คนญี่ปุ่นชอบเรียกว่า น่องหัวใช้เท้า radish like-leg)